อิสระในชีวิต หรือ ถูกลิขิตไว้

— For English —

“เราเป็นคนควบคุมชีวิตเราเองจริง ๆ หรือว่าทุกอย่างมันถูกกำหนดไว้แล้ว”

cointoss

ก่อนอื่นเลย สิ่งที่อยากจะถามคนอ่านทุกคน พวกคุณเคยได้ยินเรื่องการโยนเหรียญมาบ้างไหม ว่าถ้าเราโยนมันขึ้นไปด้วยแรงเท่าเดิม ทิศทางเดิม พื้นผิวสัมผัสของแรงเท่าเดิม รวมไปถึงตัวแปรภายนอกอื่น ๆ ทั้งหลายทั้งปวงเหมือนเดิมตลอด เจ้าเหรียญที่เราโยนขึ้นฟ้าไปนั้น จะตกกลับลงมาหน้าเดิม เด้งสูงจากพื้นเท่าเดิม และมีรอบการหมุนเท่าเดิมเสมอ ไม่ว่าเราจะลองโยนมันดูกี่ครั้งก็ตาม

แล้วคราวนี้ลองมาคิดดู ถ้าเกิดว่าชีวิตของเรามันไม่ต่างอะไรกับการโยนเหรียญ เพียงแค่มันมีตัวแปลและผลลัพธ์ที่มากกว่าเดิมเท่านั้น

ในชีวิตของพวกเราแต่ละคนมักจะจะต้องเกิดช่วงเวลา รู้…งี้… กันไม่มากก็น้อยอยู่แล้วถูกไหมครับ

ช่วงเวลาแบบ “ถ้ารู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้นะ ก็คงไม่ทำมันหรอก” หรือ “ถ้ารู้ว่ามันจะแบบนี้ ก็คงทำมันไปตั้งแต่แรกแล้ว”

แต่ว่าเราจะมั่นใจได้อย่างไรกันว่า ตัวเลือกของเรา ทุก ๆ อย่างที่เราคิดว่าได้เลือกและกระทำมันลงไป เป็นตัวของเราเองจริง ๆ ที่เลือกจะทำมัน ไม่ใช่แค่เรากำลังทำอะไรบางอย่างตามอัลกอริทึมอันแสนลี้ลับของจักรวาล

ผมมีคำถามง่าย ๆ ข้อหนึ่งมาถาม ลองคิดถึงตัวเองและสิ่งที่จะทำ แล้วตอบคำถามข้อนี้ดู

  • ถ้าคุณย้อนวันและเวลากลับไปหนึ่งวันก่อนหน้าได้ รวมถึงความทรงจำและความรู้เกี่ยวกับวันนั้นทั้งหมด จากนั้นก็เริ่มต้นใช้ชีวิตในวันนั้นใหม่อีกครั้งจากศูนย์ คุณคิดว่าคุณจะทำทุกอย่างเหมือนกับที่เคยทำมาไหม

ถ้าคำตอบของคุณคือ ใช่ นั่นมันไม่ได้หมายความว่า คุณ ผม หรือพวกเราทุก ๆ คน แค่กำลังทำทุกอย่างตามรูปแบบของสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นในวันนั้น ?

แล้วถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น ก็เกิดขึ้นจากการตอบรับสิ่งต่าง ๆ ที่ได้รับมาอีกทีหนึ่ง นั่นไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันถูกกำหนดเอาไว้นับแต่จุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง ?

และนอกจากพวกเราแล้ว ไม่ใช่ว่าทั้ง สัตว์ สิ่งของ กฎของฟิสิกส์ รวมไปถึงทุกสิ่งอย่าง ต่างก็เกิดขึ้นเพราะผลจากการกระทำของของสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้า และก็จะส่งผลของการกระทำนั้นต่อไปยังสิ่งถัด ๆ ไปเสมอ ?

แล้วถ้าทุกอย่างมันเป็นแบบนั้น นั่นมันไม่ได้หมายความว่าพวกเราแค่ใช้ชีวิตรับผลที่ต่อเนื่องกันมาตั้งแต่จุดเริ่มต้องของทุกสิ่งแทนที่เราจะเป็นคนควบคุมชีวิตของเราเอง ?

หลังจากที่อ่านมาถึงตรงนี้พวกคุณบางคนคงกำลังคิด “แล้วพวกคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตล่ะ ถ้านี่เป็นเรื่องจริงมันไม่ได้หมายความว่าคนพวกนั้นทั้งหมดแค่เกิดมาโชคดี ?”

ก็อาจจะ แต่ถ้าหากทุกอย่างนั้นเกิดขึ้น เพราะเป็นผลของสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้า มันไม่หมายความว่าคนพวกนั้นที่เป็นแค้เสี้ยวเล็ก ๆ ของจักรวาลอันกว้างใหญ่ ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะต้องประสบความสำเร็จตั้งแต่จุดกำเนิดของทุกสิ่ง ? ถ้าใช่แบบนั้นจริงผมว่ามันคงเกินคำว่า “แค่โชคดี” ไปมากโขอยู่

universe-1044107_640

แต่

ผมไม่ได้มานั่งพิมพ์เรื่องพวกนี้ตั้งมากมายเพื่อให้คนอ่านมานั่งคิดว่าชีวิตตัวเอง ไร้ค่า ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ถ้าเราถูกกำหนดมาให้ลำบากตั้งแต่ต้น ไม่เลย ! เพราะถึงยังไงพวกเราก็ไม่ได้ฉลาดกันจนสามารถที่ดูอนาคตของตัวเอง หรือ วิเคราะห์รูปแบบของสิ่งที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดได้ ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มันจะดี หรือ มันจะแย่ถูกต้องไหม ใครจะรู้พวกคุณที่อ่านอยู่อาจจะถูกกำหนดไว้แล้วให้ประสบความสำเร็จในชีวิตแบบที่ต้องการก็ได้ แค่มันยังไม่ใช่นะวินาทีนี้ (หรือใครที่ประสบความสำเร็จแล้ว ณ เวลาที่อ่านอยู่ ขอแสดงความยินดีด้วยครับ)

สิ่งที่ผมอยากจะบอกหลังจากพิมพ์มาทั้งหมดก็คือ ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถรู้ได้อย่างแน่นอนว่า เรากำลังเป็นคนควบคุมชีวิตของเราเองจริงหรือไม่ แต่อย่างหนึ่งที่เรามั่นใจได้ว่าเรารู้ก็คือ “เรารู้สึกว่าเราเป็นคนตัดสินใจทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเราเอง” เรายังคงรับรู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ความสนุก ความทุก ยินดี และเสียใจ จากการกระทำที่เรามั่นใจว่าเป็นทางที่เราเลือกจะทำมัน

ไม่ว่ามันจะเป็น สิ่งมีชีวิตที่สูงส่งเกินกว่าเราจะเข้าใจ, กฎการทำงานของธรรมชาติและจักรวาล, หรือว่าแค่ตัวเราเอง ที่เป็นคนควบคุมรถไฟเหาะบ้า ๆ ที่ทุกคนเรียกมันว่าชีวิต เราทุกคนก็สามารถมั่นได้ได้อย่างหนึ่งว่าพวกเรานี่แหละคือคนที่นั่งแถวหน้าของรถไฟเหาะคันนั้น และเราก็จะเป็นคนที่ลุกออกจากมันแล้วเดินจากไป ตอนที่ชีวิตของเราจบลง

เพราะฉะนั้นเราควรจะทำยังไงกับชีวิตของเราดี ? เราใช้มันสิ ! ใช้มันให้เต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจฉลาด ๆ ไปถึงการทำผิดโง่ ๆ นั่งรอลุ้นไปในช่วงที่เรากำลังค่อย ๆ ไต่ขึ้นสู่จุดสูงสุด หรือแหกปากโวยวายสุดเสียงตอนเราโดนแรงของมันจากภายนอกกระชากไปมาจนควบคุมอะไรไม่ได้ แล้วกลับมาพักหายใจอีกครั้งตอนเราขึ้นไปสู่ยอดด้านบนที่สามารถชมวิวโดยรอบได้อย่างจุใจ

ชีวิตของเราก็เหมือนกับรถไฟเหาะขนาดใหญ่ ใครจะไปสนใจกันล่ะว่ามันมีรางรถไฟที่มองไม่เห็นคอยกำหนดทิศทางของเราอยู่หรือเปล่า ถึงแม้ว่าไอ้รถไฟเหาะขนาดใหญ่นี้มันจะมีจุดที่น่ากลัวและหวาดเสียวอยู่หลายจุด แต่ในเมื่อทางออกจากรถไฟของเรามีแค่สองทาง ระหว่าง เตะเก้าอี้แล้วกระโดดออกมาตอนที่รถไฟกำลังวิ่งอยู่ กับ นั่งอยู่บนนั้นต่อไปจนจบการเดินทาง ทำไมเราไม่เลือกที่ใช้โอกาสนั้นนั่งอยู่กับมัน และสนุกไปกับมันจนจบแทนที่จะมาโอดครวญว่าเราไม่น่าขึ้นมาบนรถไฟขบวนนี้เลย ?

แล้วไม่แน่นะ พอรถไฟของเราเทียบชานชาลาในตอนสุดท้าย เราอาจจะมีโอกาสได้รู้ก็ได้ ว่าความจริงแล้ว ใครที่เป็นคนคอยควบคุมชีวิตเรามาตลอดกันแน่

clock-3179167_960_720