<Thai> – <English>
Osaka ในที่สุดก็ได้มาเที่ยวเมืองนี้แบบจริงจังหลังจากตุลาคมที่แล้วต้องพลาดไปเพราะ Super Typhoon Lan ผ่านมาเยี่ยมจนต้องไปนอนเซ็งอยู่ในสนามบิน
ในครั้งนี้ เรามาดูกับดีกว่าว่า การเที่ยวแบบ “เดินสบายตามใจฉัน” ของผมมันจะพาไปพบกับอะไรบ้างในเมืองใหญ่ที่ชื่อว่า Osaka แห่งนี้
Day 1
ในวันแรกเลยก่อนจะมาถึง Osaka ผมต้องนั่งเครื่องจาก Singapore ไปลงต่อที่ Taipei ก่อนจะวนเข้าไปในสนามบิน แล้วเดินเป็นวงกลมกลับเข้า Gate แล้วมาต่อเครื่องอีกครั้งเพื่อ…
ขึ้นเครื่องเดิม, พนักงานก็ชุดเดิม, นั่งที่เดิมอีก, แถมขยะที่หล่นบนพื้นที่เห็นตั้งแต่ตอนออกจากเครื่องก็ยังอยู่ที่เดิม…แหม่ถ้าจะเหมือนเดิมซะขนาดนี้ จะให้นอนพักยาวบนเครื่องเลยก็ไม่ได้นะ

The Moment 01: Custom

หลังจากลงมาถึง Osaka แล้วก็จัดแจงเดินดุ่ม ๆ ผ่านเข้าประเทศเขาพร้อมกับแววตาอันมุ่งมั่นในทันที แต่เดี๋ยวก่อน เราโดน Custom สั่งหยุด อะอ่าว หลังจากนั้นก็…เทกระเป๋าเลยจ้า เทเข้าไป เอาแล้ว ๆ
จากนั้นก็โดนถามรัว ๆ เป็นชุดเลย คุณเอาของมาแค่นี้จริง ๆ นะ (เป้หนึ่งใบ กับกระเป๋าข้าง), คุณแน่ใจนะว่าไม่ได้มาทำธุรกิจ หรือมาขายของอะไร, คุณแน่ใจนะว่าคุณไม่ใช่ประชาชนญี่ปุ่น (อะยอมข้อนี้ให้ก็ได้)
หลังถามจบหนึ่งรอบ เขาก็ถามซ้ำอีกรอบ ระหว่างถามก็ค้นกระเป๋า ไปถามย้ำไป (ครั้งที่สามแล้วนะคะคุณพี่ //ทำเสียงเลียนแบบแม่หญิง) คุณมั่นใจนะว่าไม่ได้มาทำธุรกิจ หรือจะมีคนเอาของมาส่งให้ทีหลังที่นี่ แหม่พี่ครับกระเป๋าก็เพิ่งค้นไป คนที่มีแค่เสื้อยืดกับบ๊อกเซอร์ แล้วมาในสารรูปแบบนี้เนี่ยนะมาทำธุรกิจ
แต่ก็เข้าใจเขาแหละนะ ว่าเขาทำตามหน้าที่
เอาล่ะ หลังจากผ่านด่าน Custom สุดเข้มมาแล้ว ป้ายหน้าก็จับรถไฟเข้าเมืองสิครับ รอบนี้ก็มาเป็นครั้งที่สองแล้วสบาย ๆ เดินไปหยอดเงินซื้อตั๋ว กระโดดขึ้นรถโลด กับเป้าหมายแรกและเป้าหมายเดียวที่วางแผนเอาไว้ว่าจะทำเมื่อมาถึง คือไปกินข้าวหน้าปลาไหลร้าน Honke Shibato Unagi ที่พลาดไปในคราวที่แล้ว
ลงรถไฟเดินต่อไปแค่สิบกว่านาทีก็ถึง และในที่สุดก็ได้กินแล้ว
ลาก่อนข้าวหน้าปลาไหลไทย ต่อไปเราคงมองว่านายอร่อยไม่ได้แล้วล่ะ
หลังจากกินมือแรกในประเทศญี่ปุ่นไปแล้ว เป้าหมายหน้า เดินเข้าที่พักสิครับ ครั้งนี้ก็เดินตรงเลย ตัดผ่านเมืองไปยัง Namba มุ่งหน้าหาที่พัก ที่อยู่ห่างไปแค่สามกิโลเกือบสี่กิโลเอง ถือว่าเดินชมวิว (ทริปนี้ขึ้นรถไฟน้อยมากครับ เน้นเดินด้วยขาซะมากกว่า) เวลาชั่วโมงกว่าต่อมาก็หมดไปกับการเดินเที่ยวเล่นชมนก (ที่นี่กาเยอะมาก) ชมวิว ชมเมือง ไปเรื่อย ๆ แบบสบาย ๆ จนกระทั่งมาถึงสะพานข้ามแม่น้ำ Dotonbori ก็แวะถ่ายรูปเล่นสักหน่อย ก่อนจะเดินต่อเข้าที่พัก
ที่พักก็เป็น Apartment เล็ก ๆ แคบ ๆ ขนาดกระทัดรัดแต่มีทุกอย่างพร้อมตั้งแต่ห้องครัวยันเครื่องซักผ้า
The Moment 02: ฝรั่งชั้นสาม
ตอนขึ้น Apartment ครับ ดันมีฝรั่งที่เป็นนักท่องเที่ยวมาพักที่นี่เช่นกัน (น่าจะมีคนกลุ่มหนึ่งซื้อห้องปล่อยให้นักท่องเที่ยวแหละ แต่คนท้องที่ก็มีพักอยู่ด้วยแหละเพราะเจออยู่) ด้วยความที่เราของติดตัวน้อย แล้วเดินเข้าไปไขกุญแจเลย เขาเลยเข้าใจผิดว่าผมอยู่มานานแล้ว ?
หลังจากเราเดินขึ้นลิฟต์ไปแล้ว ก็กดเปิดประตูรอเขาขนกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ๆ เข้ามา แล้วฝรั่งคนนั้นก็เลยหันมาพูดกับผม Arigatou gozaimasu อ๊ะ พี่ ผมไม่ใช่ คนญี่ปุ่น ! ไม่ทันแล้ว เขาเดินออกจากลิฟต์ไปแล้ว…และนั่นคือการโดนเข้าใจผิดครั้งแรก (และจะมีอีกหลาย ๆ ครั้งตามมา)
Po Travel Tips – 03: ยิ่งคุณดูกลมกลืนกับความเป็นคนท้องที่แค่ไหน คุณจะยิ่งได้พบได้เจออะไรที่นักท่องเที่ยวโจ่งแจ้งไม่เคยเจอ
หลังจากอาบน้ำอาบท่าให้ร่างกายได้พักผ่อนแล้ว ก็ถึงเวลาเดินเที่ยวอีกครั้ง ในครั้งนี้ผมเดินออกจากที่พัก ก่อนจะมุ่งหน้ายาวไปทางขวาเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ว่าเส้นทางมันจะพาตัวเราไปถึงที่ไหนกัน รู้ตัวอีกทีก็มาโผล่ที่ย่านไหนก็ไม่รู้ ที่เต็มไปด้วยร้านปาจิงโกะ และ สถานขายบริการ… (ผมมานั่ง Google Map ทีหลัง หลังจากตัวเองเดินตรงไปเรื่อย ๆ จนพบว่าย่านนั้นชื่อว่า Tobita Shinchi ใครอยากรู้ว่าเป็นยังไงลองไป Google กันต่อเองนะครับ ไม่ได้เก็บภาพกลับมา กลัวเท้าลอยมาก่อน)
The Moment 03: มาม่าซังยอดนักเชียแขก
ในย่าน Tobita นั่นจะเรียงรายไปด้วยห้องติด ๆ กัน ไม่ต่างจากห้องแถวเยาวราชสักเท่าไหร่ ในแต่ละห้องจะมีผู้หญิงนั่งอยู่ชั้นล่าง และมาม่าซังที่เป็นหญิงสูงอายุนั่งเฝ้าอยู่ และที่เด็ดที่สุดจนผมแทบจะล้มขำตรงนั้นคือลีลาการเชียแขกของ มาม่าซัง ในแต่ละห้องครับ
เริ่มแรกเลย ถ้าคุณเผลอไปสบตากับยายแกเมื่อไหร่ มาแล้วครับ แกจะเปิดก่อนเลย Oniisan, Oniisan หลังจากนั้นจะตามมาด้วยการรัวภาษาญี่ปุ่นใส่คุณไม่ต่างอะไรกับนักพากย์เรือยาว
และไม่พอแค่นั้น ยายแกจะมีการหันไปสะกิดผู้หญิงข้าง ๆ แล้วสั่งให้ยิ้มและโบกมือด้วย (ไม่ต่างอะไรกับเพนกวินในมาดากัสกา) หลังสะกิดเสร็จ แกก็จะหันมารัวเชียแขกต่อ (นึกภาพอาม่าวัยผ่านสงครามโลกกำลังโวยวายรัว ๆ นะครับ) แล้วไม่พอ พอคุณเดินผ่านไป แกก็จะตบเข้าฉาดร้อง อ่าาาาา ออกมาด้วยความเสียดายแบบไม่อายคน
และความฮามันอยู่ตรงนี้ นึกภาพว่าคุณกำลังโดนอาม่ากวักมือเรียกแบบนั้นจากประมาณ สามถึงสี่ห้องแถวทั้งซ้ายขวา มันช่างเป็นประสบการณ์การเชียแขกที่ประเจิดประเจ้อและเซอร์เรียลสุด ๆ สิ้นดี (ดูความถี่ของห้องพวกนั้นได้จากในรูป ใช่ครับไอ้ป้ายขาว ๆ พวกนั้นทั้งหมดนั่นแหละ // ส่วนใครอยากเห็นภาพตอนกลางคืน พิมพ์ Tobita Shinchi ใน Google ครับ)

Po Travel Tips – 04: ถ้าที่ไหนมันดูอันตราย ๆ เราเข้าไปดูเฉย ๆ แล้วเดินหนีออกมาดีกว่านะ
หลังจากที่เดินหนีออกมาจากย่านนั้นได้สักพัก ผมก็ได้รับข้อความเข้ามาทางมือถือ เพื่อนผมที่พักด้วยกัน (แต่ไม่ได้เที่ยวด้วยกัน) มาถึงแล้ว ! ผมจึงหยุดการเดินเที่ยว วิ่งไปขึ้นสถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุด ก่อนจะกลับไปรวมตัวกัน ณ ที่พัก
The Moment 04: เนื้อย่าง !
และแล้วก็มาถึงอาหารมื้อดึกในคืนแรกกันกับร้านเนื่อย่างชื่ออะไรสักอย่างที่เพื่อนผมเจอจากในเน็ต ซึ่งระยะทางจากที่พักก็ห่างกันเพียงแค่ไม่กี่นาทีเดินเท่านั้น
ร้านนั้นเป็นร้านเนื้อย่าง ที่มัน มัน และ มันมากจนแทบจะกรีดร้องกันด้วยความมันที่ไหลออกมาจากเนื้อ ไม่พอ กระทะยังเป็นกระทะเอียงแบบพิเศษ ที่มีรูตรงปลายปล่อยให้น้ำมันไหลลงซอสสีน้ำตาล ๆ ด้านล่างอีกด้วย
แล้วไอ้ซอสนั่นเอาไว้ทำอะไร ? แค่พักน้ำมัน ? ไม่ใช่ครับ ! มันไม่ได้หายไปไหนเลย ไอ้ความมันทั้งหมด มันถูกนำกลับมาราดใส่ยากิโซบะ ทุกความมัน มันไม่ได้หนีเราหายไปไหนเลย ช่างเป็นร้านที่ไม่รักสุขภาพเอามาก ๆ ใครที่ชอบทานเนื้อมัน ๆ นี่เหมือนพบสวรรค์แห่งความมันเลยครับ
แต่รสชาติขอบอกว่าอร่อยสุดยอดมากครับ แถมราคาไม่แพงด้วย และที่สำคัญ ไม่ต้องปิ้งเอง เพราะจะมีพนักงานมาบริการถึงที่ ! หลังจบจากร้านเนื้อย่าง พวกเราก็กลับเข้าที่พักกันพร้อมกับกลิ่นเนื้อเต็มตัว อาบน้ำล้างตัว และเข้านอน

Day 2
หลังตื่นเช้าวันที่สอง เราก็เริ่มแยกย้าย เพื่อนผมเลือกที่จะไป Universal Studio ส่วนผม ? ตามเคยครับ ออกเดินเท้าเที่ยว Osaka แบบไร้จุดหมายเช่นเคย เริ่มด้วยการแวะไปหาอะไรกินตอนเช้าในคาเฟ่เล็ก ๆ ใกล้กับที่พักเพื่อเติมพลังยามเช้า
ก่อนจะออกเดินเท้าต่อไปเรื่อย ๆ จนไปพบกับ วัดอะไรสักอย่างที่ตั้งอยู่กลางเมืองก็เลยแวะเข้าไปถ่ายรูป ในตอนนั้นรอบ ๆ ตัวจะรายล้อมไปด้วยเหล่าผู้สูงอายุญี่ปุ่นในชุดท่องเที่ยวพร้อมไม้เท้า คอยเดินมาเป็นหมู่คณะ ไอ้เราก็เดินไปมา ถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยพยายามหลบถ่ายไม่ให้ติดพวกเขา
หลังจากนั้นก็เกือบเที่ยงแล้ว เลยแวะหาของกินในร้านอาหารสุ่ม ๆ ที่เจอระหว่างทาง Osaka นี่มันเมืองของกินจริง ๆ ให้ตายสิ หลงไปที่ไหนก็ไม่อดตาย (ถึงจะไม่เท่ากรุงเทพก็เถอะ) ร้านอาหารที่เข้าไปเจอนั้นเป็นบ้านไม้เก่า ๆ ที่ขายข้าวอะไรสักอย่าง ที่จะว่าแกงกะหรี่ก็ไม่ใช่จะกระเพรากับลาบก็ไม่เชิง แต่อร่อยดี
ตามมาด้วยการเดินเลี้ยวเข้าร้านขนมที่อยู่ห่างกันไม่ไกล ไปโดนเค้กที่อร่อยมาก แห่งหนึ่ง
หลังจากนั้นก็เดินยาวเลยครับ เดินไปเรื่อย ๆ ตามแต่ใจอยากจะพาไป ไปเจอสวนสาธารณะ เจอสะพานข้ามน้ำ ย่านตึกเก่าเล็ก ๆ ภาพวาดฝาผนังแปลก ๆ วันนั้น โทรศัพท์วัดระยะทางบอกว่าเดินไปกว่า 23 กิโลเมตรเห็นจะได้ ระหว่างเดินก็คอยถ่ายรูปนู่นนี่นั่นไปเรื่อย
The Moment 05: Yodo River
หลังจากที่เดินมาเรื่อย ๆ ตัวเมืองใหญ่ ๆ ก็ค่อย ๆ หายไป ภาพที่มาแทนที่ก็กลายเป็นวิวสุดคลาสสิคในการ์ตูนแทน เจ้เนินริมน้ำนั่นเอง !
ในจุดนี้นั้นลมพัดเย็นสบายดีมาก แถมด้วยมุมสวย ๆ ที่เปิดโล่งไปทางทิศตะวันตก สุดท้ายเลยเลือกตัดสินใจ ปักหลักอยู่ที่นี่จนกว่าจะเย็น เพื่อเก็บภาพท้องฟ้ายามเย็นขอ Osaka ไว้เป็นที่ระลึก ก่อนจะกลับไปยังที่พักเพื่อเตรียมตัวออกมาดูเมืองในยามค่ำคืนอีกครั้ง
Po Travel Tips – 05: บางทีอย่าไปสนใจแผนมากก็ได้ ถ้าเจอกับอะไรดี ๆ ระหว่างทาง ชื่นชมมันดื่มด่ำกับชีวิตสักหน่อย
ออแล้วอีกอย่าง จุดที่ไปนั่งริมน้ำถ่ายรูปนี่ มันไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวนะครับ มันคือจุดที่ผมเดินเล่นเป็นเวลากว่าสองชั่วโมงเพื่อหามุมดี ๆ จะถ่ายรูปจนไปเจอ แถมแถวนั้นชั่วโมงหนึ่งก็จะมีคนผ่านมาสักสามถึงสี่คน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคุณลุง คุณป้า ในชุดวอร์ม หรือเย็น ๆ หน่อยก็เป็นเด็กนักเรียนเดินจูงสุนัขเล่นตอนเย็นเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ใครอยากได้จุดพระอาทิตย์ตก กรุณาติดต่อขอพิกัดมานอกรอบนะครับ
Osaka Night life – 01
แน่นอนครับ หนึ่งในจุดเด่นหลักของ Osaka ก็คือสถานที่เที่ยวในตอนกลางคืนที่มีเยอะมากกกก (ก.ไก่ล้านตัว) และกระจุกตัวรวมกันอยู่ในจุดที่สามารถเดินหาถึงกันได้หมด เหมือนเป็นกลุ่มก้อนของ บาร์ ผับ ไนท์คลับ ที่เชื่อมถึงกันหมด
ซึ่งร้านส่วนใหญ่ก็จะเริ่มเปิดตั้งแต่ ห้าโมงเย็น ไล่กันไปยันสี่ทุ่ม และส่วนใหญ่ก็จะปิดกันประมาณ ตีสาม ถึง ตีห้า ซึ่งในคืนแรกนั้นกว่าผมจะกลับที่พักก็เกือบตีสี่ ตีห้าแล้ว เรียกว่าไปเดินเที่ยวรับลมทั้งคืนเลยทีเดียว
The Moment 06: Kinguu Bar
คืนแรกกับการเที่ยวกลางคืนใน Osaka แค่เริ่มมาผมก็พบกับ Bar แห่งหนึ่งที่มีความ ประหลาด และ โดด เด่นมาก ๆ ในการตกแต่งและบรรยากาศ เอาเป็นว่าไปดูรูปกันเอาเองดีกว่า
ผมนั่งเล่นอยู่ในร้านนี้ เกือบทั้งคืน ในระหว่างนั้นก็ได้เพื่อนคุยเพื่อนเล่นเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวบ้างคนท้องที่บ้าง ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปต่อเรื่อย ๆ (ได้ Free shot จากเจ้าของร้านและนักท่องเที่ยวคนอื่นมาประมาณ 4 Shots ได้)
The Moment 07: Not a Casino, Casino Bar
ในคืนนั้นครับ ผมไปเจอกับ Bar แห่งหนึ่งที่ติดป้ายหราเลยว่าเป็น Casino Bar ผลจากการเข้าไปคือ…
โถ่ถัง คุณพระ คาซิโนเก้ ต้องแลกเงินเล่น แต่ห้ามแลกออก ต่อให้เล่นได้ก็เอาชิปที่ได้ไปซื้อเครื่องดื่มกับอาหารในบาร์ได้เท่านั้น หลังได้ยินเจ้าของร้านอธิบายมาตามนั้นเราก็จัดการยกมือร้อง No, no, no, no แล้วก็เดินหนีออกมาทันที
The Moment 08: โดนโฮสวิ่งใส่
คุณเคยเห็นหนุ่มโฮสไหมครับ (ใครไม่รู้จักลองไป Google นะ) ในย่าน Dotonbori ตอนกลางคืน คุณจะสามารถพบเหล่าชายพวกนี้ได้ทั่วไปหน้าบาร์โฮสเลยครับ (ไม่ได้ถ่ายรูปมา) เขาจะยืนเกาะกลุ่มกันไปมา บางทีก็จะเห็นเชื้อเชิญลูกค้าให้เข้าไปนั่งดื่มในร้านบ้าง แล้วประเด็นเลย ผมโดนโฮสเดินใส่แล้วชวนเข้าร้านบ่อยมาก ด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่รู้
ฟังดูเหมือนจะน่ากลัวนะครับ แต่คนพวกนี้เขาเข้ามาชวนได้สุภาพมาก แถมพอรู้ว่าเป็นชาวต่างชาติ บางคนก็อาจจะขอโทษเล็กน้อยแล้วก็เดินหนี บางคนก็จะพยายามสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษกลับมา แต่คุณจะไม่เจออะไรแบบโดนตามตื้อลากเข้าบาร์แน่ ๆ ครับ (หรือเพราะผมตัวใหญ่พวกนั้นไม่กล้าก็ไม่รู้)
แล้วอีกอย่างหนุ่มโฮสพวกนี้ไม่ได้มีแค่พวก ผู้ชายวัยรุ่นผมทองหน้าใส นะครับ รุ่นใหญ่เป็นคุณลุงสุดเท่ หรือแม้แต่โฮสหญิงก็มี ใครที่มาเที่ยวโอซาก้า ผมแนะนำให้ออกมาเดิน Dotonbori ตอนกลางคืนดูครับ ไม่แน่คุณอาจจะโดนโฮสเดินเข้าหาก็ได้ ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่แปลกดีและอยากให้มาลองเจอกันสักครั้งในชีวิต (ส่วนใครจะเดินตามเข้าไปดื่มก็เต็มที่เลยครับ ผมไม่ได้ลองเหมือนกัน)
The Moment 09: มายุระกับเครื่องดื่มฟรี
ในคืนนั้นผมได้พบกับ Bartender คนหนึ่ง เป็นผู้หญิงที่ชื่อว่า มายุระ ทำงานอยู่ในบาร์แห่งหนึ่ง (ขอไม่บอกชื่อบาร์นะครับ) หลังจากเข้าไปนั่งได้ซักพัก ผมก็เริ่มโดนเธอชวนคุย ก่อนที่จะโดนหน้าตกใจใส่อีกครั้ง เมื่อเขารู้ว่าเราไม่ใช่คนญี่ปุ่น (ถ้าผมพูดญี่ปุ่นได้ดี ๆ อยู่ที่นั่นคงหายตัวได้เลย)
หลังผ่านการซักถามกันไปมา (เขาพูดอังกฤษได้) เราก็ได้รู้ว่าเธอมีคุณยายเป็นคนไทย อ่าวรู้แบบนี้ผมก็ไม่รอช้าแนะนำตัวไปว่าเป็นคนไทย มาเที่ยว หลังจากนั้นครับ Shot ฟรีก็โถมเข้าใส่ผมเป็นระยะ ๆ ทั้งคืนเลยจนเขาเดินออกจากร้านกลับบ้านไปตอนตีสามครึ่ง
Po Travel Tips – 06: ผับ และ บาร์ เป็นสถานที่ ๆ คุณจะหาเพื่อนใหม่ได้ง่ายมาก
Day 3
วันที่สามเป็นวันที่เที่ยวได้เบามากครับ จากการอดนอนและหมดแรงมาจากเมื่อคืน เริ่มจากการไปกิน อาหารเช้าที่ตลาดใกล้ ๆ กลับมานอนพัก ออกไปอควาเรียมตอนบ่าย แล้วกลับมาสลบน็อคไปยันเช้าเลย
The Moment 10: Osaka Aquarium Kaiyukan
เป็นหนึ่งในอควาเรียมที่ใหญ่มาก แถมด้วยทางเดินแบบแปลก ๆ คือ ตู้ปลาส่วนใหญ่ของที่นี่จะถูกทำเป็นแท่งตรงยาวสูง และจัดเรียงล้อมรอบเป็นวงกลม ส่วนทางเดินก็จะถูกทำเป็นทางเดินวน ล้อมรอบตู้ปลาที่ใหญ่ที่สุดตรงกลาง ยิ่งคุณเดินเข้าไป คุณก็จะยิ่งลงสู่ส่วนที่ลึกลงไปเรื่อย ๆ ของตู้ปลาเหล่านั้น ทำให้คุณได้เห็นทั้งปลาที่อยู่แถวผิวน้ำ และปลาที่ชอบอยู่ก้นทรายในตู้เดียวกัน
ในระหว่างเดินก็เจอนักเรียน เหมือนจะมาทัศนศึกษานอกสถานที่พอดีด้วยก็เลยกดรูปมุมดี ๆ ติดมาด้วย

และที่เด็ดที่สุดเลย คือไอ้เจ้าแมวน้ำขี้เกียจตัวอ้วนกลม ในแบบที่ไม่เคยเห็นความกลมนี้มาก่อน นอนรอบอกลาทุกคนอยู่ตรงห้องสุดท้ายก่อนจะถึงทางออก
Day 4
วันนี้ในตอนกลางวันก็เช่นเคยครับ เดินเที่ยวไปเรื่อย เก็บรูปไปเรื่อย ไม่มีอะไรมาก
Osaka Night life – 02 : Best night Ever
แล้วก็มาถึงแล้วครับ กับจุดที่พีคที่สุดของการเที่ยว Osaka ในรอบนี้ เรื่องราวทุกอย่างมันเริ่มมาจากตอนเย็นราว ห้าโมงครึ่งที่ฝนเริ่มตก และผมเข้าไปหลบฝนในผับแห่งหนึ่งช่วงนั้นก็ไม่มีอะไรมากครับ หาของกินไปแทงพูลกับชาวบ้านเขาไป และหลังจากนั้นช่วงทุ่มกว่า ๆ ความมันก็เริ่มบังเกิด
The Moment 11: Draw on Me
และนี่คือรูปของ The Team หรือกลุ่มเพื่อนใหม่ที่ได้ไปพบเจอและตะลุย Osaka ด้วยกันในคืนนั้น ที่พวกเราต่างเอาชุดขาวถูก ๆ มาใส่แล้วเริ่มบรรเลงเขียนเล่นใส่กันอย่างมันมือ
The Moment 12: We love Osaka
คุณยังไปไม่ถึง Osaka หรอกครับ ถ้าคุณยังไม่เคยกอดคอแปลกหน้าห้าหกคน ยืนกลางถนน ชี้นิ้วขึ้นฟ้า แล้วแหกปากสุดเสียงว่า We love Osaka รัว ๆ สู้กับเสียงฝนที่กระหน่ำลงมาใส่ (ไม่โดนตำรวจรวบก็บุญแค่ไหนแล้ว)
The Moment 13: I believe in you at Dotonbori River
เรื่องต่อไปนี้จะว่าโรแมนติคมันก็โรแมนติคอะนะ จะว่าบ้าบอมันก็บ้าบอเช่นกัน เรื่องมันมีอยู่ว่า
ในขณะที่กำลังเดินอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ Dotonbori แถว ๆ ป้าย Glicoman ชื่อดัง อยู่ ๆ คนที่กำลังใช้ร่มคู่กับผม (อยู่ในรูปแล้ว ไปเดากันเอาเองนะว่าใคร) ก็หุบร่ม เริ่มปีน กระโดดขึ้นไปยืนบนราวกั้นที่กำลังลื่นเนื่องจากฝนที่กระหน่ำเทลงมา และยื่นมือออกมามาทางผมพร้อมกับพูดขึ้น
“I believe in you Po! Please Hold me.”
ก่อนที่ผมจะยื่นมือไปจับ และเราทั้งคู่ก็เดินจับมือกันไปตลอดรั้วริมน้ำของ Dotonbori ท่ามกลางสายฝน และแน่นอน การลื่นตกน้ำมันไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเกิดขึ้น
และผมคงบอกได้แค่ว่า
คุณยังไปไม่ถึง Osaka หรอกครับ ถ้าคุณยังไม่เคยกระโดดลงแม่น้ำหน้าป้าย Glicoman ตอนเที่ยงคืน

Po Travel Tips – 07: ทำอะไรบ้า ๆ ได้นะครับ แต่ระวังตัวด้วยทุกอย่างมันไม่ได้ปลอดภัยเสมอไป
Day 5
ไม่มีอะไรมากครับ นอกจากตื่นเช้าหาของกิน เล่นเกมตู้คีบ แล้วก็เดินทางกลับเมืองไทย
หมดแล้วครับ สำหรับการเที่ยว Osaka ในครั้งนี้ เป็นการเที่ยวที่ได้รับประสบการณ์และความทรงจำดี ๆ กลับมามากมาย หวังว่าทุกท่านจะชอบใจในเรื่องราวครั้งนี้นะครับ
ใครอ่านแล้วชอบใจก็อย่าลืมมา Comment, Like, Share หรือ Follow กันด้วยนะครับ แล้วไว้วันหลังมีเรื่องอะไรสนุก ๆ จะมาเล่าให้ฟังอีกครับ