ก่อนอื่นเลย บทความนี้จะเรียกมันว่ารีวิวหนังแบบเต็มปากก็คงจะไม่ได้สักเท่าไร ซึ่งใครที่เคยอ่านบทความอื่นของผมก็คงจะทราบว่าเวลาผมไปดูหนังหรือซีรีย์มาส่วนใหญ่ผมจะชอบเขียนถึงมันแบบแปลก ๆ ตามแต่ที่ตัวเองจะนึกออก ซึ่งหนังเรื่อง Searching นี้ก็คงจะไม่แตกต่างกัน สำหรับใครที่อยากอ่าน Review หนังอย่างเดียว อ่านแค่สีแดงพอ เข้าใจตรงกันนะ
ก่อนอื่นเลยผมต้องบอกก่อนว่าผมเกิดมาทันยุคก่อนหน้าที่จะมีอินเตอร์เน็ตเข้ามาในประเทศไทย ในสมัยที่ไม่มีอะไรอย่าง Google YouTube Facebook หรืออะไรก็ตาม เอาจริง ๆ ตอนนั้นแค่บ้านใครมีคอมพิวเตอร์ก็หรูแล้ว อ๊ะ ! อย่าเพิ่งว่าผมแก่นะ เพราะอินเตอร์เน็ตมันเพิ่งจะมีเข้ามาได้ 20 กว่าปีเท่านั้นแหละ ผมยังเลขสองอยู่เลย
กลับมาเข้าเรื่องกันใหม่ ไอ้อินเตอร์เน็ตเนี่ยใครที่โตมาในรุ่นเดียวกับผมน่าจะเข้าใจดีถึงความสามารถของมัน เข้าใจมากกว่าพวกคนรุ่นที่เขาใช้อินเตอร์เน็ตตอนโตแล้ว หรือเด็กรุ่นนี้ที่ได้จับมันในจุดพีคมาตั้งแต่เด็ก
พวกเราและอินเตอร์เน็ตนั้นเอาจริง ๆ ก็เป็นเหมือนเพื่อนที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่สมัยที่เน็ตส่งเสียง ~แอ่อี้อ่ออออ~~~~ ดังมาตามสายโทรศัพท์ โทรเข้าแล้วเน็ตตัด ในสมัยที่ยังไม่มี YouTube ในสมัยที่เอาจริง ๆ คนใช้ Google เป็นก็เก่งมากแล้ว แล้วพวกเราก็โตมากับมันเรื่อย ๆ ข้อมูลส่วนใหญ่เริ่มเข้าถึงง่ายขึ้น อะไรที่เราเคยต้องเสียเวลาค้นหาเป็นชั่วโมงเป็นวันในห้องสมุดกลับกลายเป็นค้นหาได้ด้วยปลายนิ้วในไม่กี่นาที วิดีโอที่อยากฟัง เพลงที่อยากหา ทุกอย่างกลายเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้อย่างง่ายดาย
เราเติมโตมากับนานมาก นานเกือบทั้งชีวิตของเรา นานจนเราส่วนใหญ่ลืมมองพัฒนาการอย่างก้าวกระโดดของมันในช่วงสั้น ๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ต่างอะไรกับที่เราไม่เคยรู้สึกเลยว่าเรากับเพื่อนสมัยมัธยมโตเป็นผู้ใหญ่กว่าตอนนั้นขนาดไหน แล้วกว่าพวกเราจะรู้สึกแบบนั้นก็คือตอนที่เราได้กลับมาพูดคุยกับเพื่อนที่ไม่ได้ติดต่อกันนาน แล้วเราก็ได้แต่คิดในใจ “เออ ไอ้คนนี้มันเปลี่ยนไปเยอะนะเนี่ย”
แต่กับอินเตอร์เน็ตเนี่ยจุดสำคัญก็คือ “เราไม่เคยห่างกับมันนานจนมองเห็นความเปลี่ยนแปลงขนาดนั้น” พวกเราไม่เคยรู้หรือรู้สึกเลยว่า ไอ้เจ้าสัญญาณโง่ ๆ ส่งเสียงร้องประหลาด ๆ ในตอนนั้นมันจะกลายเป็นหนึ่งในสุดยอดนวัตกรรมเปลี่ยนโลกไม่ต่างกับล้อรถหรือว่าเครื่องบินเลย
และหนังเรื่อง Searching ก็ได้หยิบการเติบโตของ อินเตอร์เน็ต ขึ้นมาถักทอออกเป็นเรื่องราวให้เราได้เห็นกันอย่างเต็มตาว่า เจ้าเพื่อนจอมกวนของคนรุ่นผมในวัยเด็กคนนั้น ตอนนี้ได้เติบโตขึ้นมาเป็นหนึ่งทรราชที่มีอำนาจใหญ่คับโลกจนไม่มีใครโค่นลงได้ไปเรียบร้อยแล้ว
ทีนี้พวกเราลองกลับมาพูดถึงหนังกันบ้างดีกว่า พล็อตของหนังก็ง่าย ๆ ไม่มีอะไรมากเลยครับแค่
“พ่อคนนึงที่ลูกสาวหายตัวไป แล้วพยายามค้นหาลูกผ่านอินเตอร์เน็ตด้วยเครื่องแล็ปท็อปของลูกที่ถูกทิ้งไว้ที่บ้าน”
ซึ่งหนังถ่ายทอดมันออกมาได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งดนตรีประกอบ การแสดง และจังหวะการเดินเรื่องของหนังที่ทำได้ดีมาก ๆ เป็นหนึ่งในหนังแนวสืบสวนที่คุณแทบจะเดาทางต่อไปไม่ได้เลย ตรงไหนที่คิดว่าพีคแล้ว ไม่เกินห้านาทีต่อมา หนังก็จะตบหน้าคุณดัง ๆ แล้วบอกว่า “พีคกว่านี้ก็มีเว้ย” แล้วหลังจากนั้น มันก็จะตบหน้าคุณอีกตบแล้วตบอีกยิ่งกว่าละครไทยยาวไปจนหนังจบเลย แถมที่สำคัญคือมุขตลกต่าง ๆ ที่แม้ว่าหนังจะตึงเครียดอยู่แค่ไหน ก็ยังสามารถแทรกเข้ามาได้อย่างถูกจังหวะเพื่อให้คนดูอมยิ้มเล็กน้อยเป็นที่พักใจระหว่างเรื่องโดยไม่ได้ทำให้อารมณ์ตึงเครียดที่มีอยู่สะดุดลงเลย
สำหรับใครที่เป็นแฟนหนังแนวสืบสวนระทึกขวัญ คุณไม่ควรพลาดหนังเรื่องนี้เด็ดขาด
แต่สิ่งที่พิเศษกว่านั้นสำหรับหนังเรื่องนี้ ผมว่ามันคือวลีนึงครับ เป็นวลีสั้น ๆ ง่ายง่าย ที่มันย้ำผุดขึ้นมาในหัวผมตลอดทั้งเรื่องจนอดไม่ได้ที่จะทำให้กลับมาเขียนบทความนี้ และอาจจะเป็นวลีที่หลายคนที่มาดูหนังเรื่องนี้อาจจะมองข้ามมันไป นั่นก็คือ
“เครื่องมือไม่มีดีหรือเลวหรอกครับ คนที่ใช้มันตะหาก ที่ดีหรือเลว”
ถ้าใครจำข่าวแย่ ๆ เกี่ยวกับอินเตอร์เน็ตได้ ไม่จะเป็นการนัดเจอกับคนที่หน้าไม่ตรงรูป การโดนหลอก โดนต้ม ถูกสืบหาตัวจากอินเตอร์เน็ต ผมยืนยันได้แทบจะ 100% เลยครับว่า เคสที่เคยเกิดขึ้นตลอดอายุ 20 – 30 ปีของอินเตอร์เน็ตจะผุดขึ้นมาในหนังเรื่องนี้เกือบหมดเลย ในขณะที่ด้านดี ๆ ของอินเตอร์เน็ตก็จะทะลักเข้ามาเป็นเขื่อนแตกในหนังเรื่องนี้เพื่อสู้กับด้านแย่ ๆ ของมันได้อย่างทัดเทียมเช่นกัน ทั้งส่วนที่น่ากลัวมากจนอาจจะทำให้คนบางคนประสาทเสียสติแตกหากเจอเข้ากับตัว หรือเรื่องดี ๆ ที่อาจจะทำให้คุณนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เป็นคนบ้าอยู่หน้ามือถือคนเดียว ต่างก็รวมกันอยู่ในหนังเรื่องนี้ได้อย่างสมดุลและลงตัว
แล้วพวกคุณรู้ไหมครับว่า ทั้งเรื่องดีและไม่ดีทั้งหลายบนอินเตอร์เน็ตในหนังเรื่องนี้ (รวมไปถึงชีวิตจริงด้วย) มีแค่สิ่งเดียวจริง ๆ ที่เป็นตัวแปรทำให้มันเกิดขึ้นครับ นึกออกไหมว่ามันคืออะไร
ใช่ครับ User ไง
User หรือก็คือพวกเราที่ใช้มันนี่แหละ ที่ทำให้อินเตอร์เน็ตกลายเป็นสถานที่อันตรายมาก ๆ ข้อมูลส่วนตัวของคุณพร้อมจะถูกล่วงล้ำได้ตลอดเวลาไปจนถึงการต้มตุ๋นหลอกลวงผ่านมัน แต่ก็เพราะ User อีกนั่นแหละที่สามารถทำให้เกิดสังคมและเรื่องราวดี ๆ บนอินเตอร์เน็ตขึ้นได้
ไม่ต่างกับมีดที่จะใช้ทำกับข้าวหรือจะใช้ฆ่าคนก็ได้ หนังสือที่สามารถใช้ให้ความรู้ได้หรือใช้ล้างสมองคนก็ได้ เช่นกัน อินเตอร์เน็ตก็คือเครื่องมือชิ้นหนึ่งไม่ต่างกับเครื่องมืออย่างอื่น เพียงแค่มันเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังมาก ๆ เท่านั้นเอง และเมื่อคุณใช้เครื่องมือที่ทรงพลังมากขึ้น คุณก็จำเป็นที่จะต้องมีความระมัดระวังมากขึ้นเมื่อใช้งานมันก็แค่นั้นเองครับ
และแน่นอนในชีวิตคุณคงไม่ได้มีอยู่แค่อินเตอร์เน็ตหรอกถูกไหมครับ คุณมีเครื่องมืออย่างอื่นกันอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเงิน ความรู้ ประสบการณ์ สิ่งของ หรือแม้แต่ connection ที่คุณมี ทั้งหมดล้วนเป็นเครื่องมือทั้งนั้น เครื่องมือที่คุณจะสามารถใช้มันในด้านดี ๆ ได้ ใช้มันให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวม ใช้มันเพื่อช่วยพัฒนาสังคมมนุษย์และพัฒนาตัวเรายิ่งขึ้นไปกว่าเดิมได้ แค่พวกเราเริ่มต้นลงมือกันคนละนิดคนละหน่อย สังคมที่ดีขึ้นมันไม่ได้เกิดขึ้นยากขนาดนั้นหรอกครับ ทุกอย่างมันก็แค่ขึ้นอยู่กับพวกเราทุกคนเท่านั้นเอง