Alpha: มนุษย์ หมาป่า และการเติบโต

No Spoil + เม้ามอยไปตามประสา

Alpha เรื่องราวของเด็กหนุ่มและหมาป่าผ่านที่ต้องเดินทางและฟันฝ่าเรื่องราวต่าง ๆ ร่วมกันจนก่อเกิดเป็นความผูกพันระหว่างมนุษย์และเพื่อนที่ดีที่สุดของเรา

หนึ่งในจุดเด่นหลักของหนังเลยก็คือความสัมพันธ์ระหว่างสองตัวเอก เด็กหนุ่ม และ หมาป่า ที่ทำออกมาได้ดูดี น่ารัก และพร้อมจะสร้างรอยยิ้มให้กับคนดูได้เกือบตลอดทั้งเรื่อง (ถึงผมจะคิดว่าหมาป่ามันเชื่องกับคนเร็วไปหน่อยก็ตาม)

และจุดเด่นอีกอย่างของเรื่องนี้ก็คือ “ภาพ” ภาพในเรื่องนี้สวยมาก เต็มไปด้วยฉากที่งามสุด ๆ ทั้งแสง เงา สี เรียกว่าในหลาย ๆ จุดแทบจะขอกดหยุดภาพแล้วเอาไปพิมพ์ใส่กรอบก็ยังได้เลย ส่วนด้านดนตรีประกอบก็ไม่น้อยหน้า จัดว่าเป็นดนตรีประกอบที่โอเคมากกับหนังที่ดำเนินเรื่องด้วยจังหวะแบบนี้

ส่วนเนื้อเรื่องและจังหวะของหนังก็…ตัวหนังมันก็ดำเนินเรื่องไปเรื่อย ๆ ของมันตามธรรมชาติไม่ได้มีจังหวะพีคอะไรให้ตื่นเต้นจนนั่งไม่ติดเก้าอี้ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ไม่ช่วงเวลาที่น่าเบื่อจนหาว ทุกอย่างดำเนินไปตามเวลาที่ถูกที่ควรของมันเหมือนกับเวลากำลังนั่งอยู่บนเครื่องเล่นของ Disney land ที่คงจังหวะและความรู้สึกเดิมเอาไว้ได้เรื่อย ๆ ตลอดเรื่องราวเราจะได้เห็นพัฒนาการต่าง ๆ ของตัวละครตลอดเวลา เห็นการสอนสั่ง การถ่ายทอดความรู้ และการเติบโตของตัวละครที่มาพร้อมกับบทเรียนต่าง ๆ ในชีวิต เอาจริงจริงจะให้เรียกเรื่องนี้ว่าเป็นหนัง coming of age แบบยุคหินก็คงจะไม่ผิดสักเท่าไหร่

พอพูดถึงเรื่องการพัฒนาผมก็อดนึกถึงเรื่องหนึ่งไม่ได้ นั่นคือ “ความสามารถพิเศษของมนุษย์” สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในธรรมชาติส่วนใหญ่ต่างก็ล้วนมีความถนัดเฉพาะตัวอยู่บางชนิดวิ่งเรากว่าชนิดอื่น บางชนิดบินได้ เอาจริง ๆ ขนาดบินได้ยังมีความถนัดไม่เหมือนกันด้วยซ้ำ นกบางชนิดบินเร็วกว่า นกบางชนิดบินอึดกว่า หรือบางชนิดบินเงียบกว่า แล้วถ้าเราจะหาความถนัดพิเศษของมนุษย์บ้าง? สำหรับความสามารถพิเศษของมนุษย์นั้นก็คงหนีไม่พ้นจากเรื่องที่เราคือ “นักคิดค้น” จริงไหมครับ?

ภายในช่วงเวลาหมื่นกว่าปีที่ผ่านมา เราได้คิดค้น และสร้างสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมามากมาย จากที่เคยอยู่กนเป็นกลุ่มเล็ก ๆ พวกเราก็เริ่มรวมตัวกันเป็นสังคมที่ใหญ่ขึ้น จากที่มีแค่เครื่องมือจากไม้และหิน พวกเราก็เริ่มพัฒนามาใช้โลหะแทนที่ เราเริ่มเรียนรู้การเพาะปลูกแทนที่จะวิ่งออกไปหาของในป่าที่เต็มไปด้วยอันตราย เราเริ่มสร้างและระบบการปกครองขึ้น อารยธรรมต่าง ๆ ทั่วโลกค่อย ๆ รุ่งเรืองขึ้นและพัฒนาตัวเองไปอย่างช้า ๆ ในเวลาไม่กี่พันปี ซึ่งเราอาจจะคิดว่านาน แต่พอมาลองย้อนดูดี ๆ โลกเกิดขึ้นก่อนที่พวกเราจะเริ่มสร้างหมู่บ้านแห่งแรกตั้งไม่รู้กี่พันล้านปี สิ่งมีชีวิตมากมาย เกิดขึ้นมาก่อนเราเป็นจำนวนมาก แต่เรากลับเป็นพวกแรกที่สามารถพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อม ๆ กับการคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ มากมายขึ้นมาในเวลาไม่กี่พันปี พวกเราถึงขนาดคิดภาษาและตัวอักษรขึ้นมาได้ในเวลาแค่นั้นด้วยซ้ำ

หลังจากนั้นอีกไม่กี่พันปีอารยธรรมตะวันตกก็เริ่มถือกำเนิดขึ้นแบบจริงจัง เริ่มจากกรีก ตามมาด้วยโรมัน และจุดเริ่มต้นของสองพันปีที่เกิดการพัฒนาขึ้นแบบก้าวกระโดด (ถึงเราจะมีสะดุดไปบ้างตอนยุคกลางก็ตาม) และในช่วงเวลา 500 ปีก่อนถึงยุคของเรานั้น พัฒนาการทั้งหลายของมนุษย์เราก็ยิ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนกับกระสุนปืนใหญ่ที่มุ่งไปข้างหน้าและพร้อมชนทุกอย่างที่ขวางทาง โดยเฉพาะช่วงร้อยปีหลังมานี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องความเร็วในการคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ ของพวกเราเลย

ถ้าจะลองนึกภาพตามง่าย ๆ นะ เราลองเอาชีวิตเราในทุกวันนี้ไปเล่าให้คนเมื่อ 80 ปีที่แล้วฟังสิ ถ้าพวกเขาไม่หาว่าเราเป็นไอ้ขี้โม้ ก็คงจะหาว่าเราอ่านนิยายวิทยาศาสตร์กับฟังเรื่องเล่าต่าง ๆ มากจนเกินไปแน่ ก็ใครในตอนนั้นจะไปเชื่อล่ะว่าเราจะพาคนขึ้นเครื่องบินขนาดใหญ่ทีเดียวได้เป็นร้อยแถมยังบินข้ามโลกได้ในเวลาไม่ถึงวัน ใครจะไปเชื่อว่าเราสามารถติดต่อสื่อสารกับผู้คนในอีกซีกโลกได้ทันทีด้วยเครื่อง Super computer ติดตัวที่เหนือกว่าเทคโนโลยีทุกอย่างที่พวกเขาเคยเห็น แต่เราดันเอามาใช้ถ่ายรูปหน้าตัวเองกับแมวที่เลี้ยงเพื่อเอาไปปล่อยลงบนเครือข่ายฐานข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในโลก แล้วส่งให้เพื่อดูพร้อมกับเขียนข้อความกวน ๆ แปะลงไป?

และถ้าเราสังเกตดี ๆ ถึงหนึ่งในตัวแปรหลักที่ทำให้เทคโนโลยีของเราพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดก็คงหนีไม่พ้นสิ่งที่เรียกว่าสงคราม ไม่เชื่อทุกคนลองดูสิ่งที่เราคิดค้น ความรู้ที่เราได้รับหลังสองสงครามที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์สิ นี่ยังไม่รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีแข่งกันในช่วงสงครามเย็นอีกนะ เราแทบจะปฏิเสธไม่ได้เลยหากมองย้อนกลับไปว่าเกือบทุกครั้งที่เราเกิดเทคโนโลยีและสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ก็เป็นล้วนแต่จะมีเรื่องราวของการทำลายและช่วงชิงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยทุกครั้ง

พวกเราพัฒนาเครื่องมือในการล่าขึ้นเพื่อใช้ในการอยู่รอด ก่อนที่เราจะหันมันเข้าหามนุษย์ด้วยกันเองเพื่อแย่งชิงสิงต่าง ๆ จากคนที่อ่อนแอกว่า ในขณะที่ฝั่งผู้อ่อนแอกว่าก็จำเป็นจะต้องคิดหาทางป้องกันตนเองขึ้น การแก่งแย่งและช่วงชิงทำให้มนุษย์หลาย กลุ่มพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ จากกำแพงไม้พวกเราเริ่มสร้างกำแพงจากอิฐและหิน จากอาวุธหินพวกเรามีดาบจากโลหะ และชุดเกระที่สามารถป้องกันมันได้ พวกเราเริ่มสร้างระบบขนส่งเพื่อใช้ในการลำเลียงสิ่งต่าง ๆ พวกเราพัฒนาระบบสื่อสารเพื่อให้ได้เปรียบอีกฝ่ายในด้านยุทธวิธี พวกเราคิดค้นดินระเบิดและปืนขึ้น เอาจริง ๆ พวกเราถึงขั้นคิดค้นอาวุธที่ร้ายแรงถึงขั้นสามารถทำลายพวกเราเกือบทั้งหมดได้ในวันเดียวด้วยซ้ำ (แล้วเราก็เกือบจะทำมันลงไปแล้วด้วย)

และที่สำคัญไปกว่านั้น เราไม่ได้ใช้เครื่องมือที่เราสร้างขึ้นเพื่อทำลายและแย่งชิงสิ่งจากมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น แต่เรายังใช้มันเพื่อแย่งชิงสิ่งต่าง ๆ มาจากธรรมชาติอีก มีสิ่งมีชีวิตจำนวนมากต้องสูญพันธุ์ลงเพราะการล่าแบบบ้า ๆ บอ ๆ ของมนุษย์เพียงเพราะเราต้องการอวัยวะบางส่วนของพวกมัน พื้นที่ทางธรรมชาติจำนวนมากถูกรุกรานและทำลายลงเพียงเพราะเราต้องการจะใช้พื้นที่นั้นเราต้องการจะกอบโกยสิ่งที่เกิดขึ้นในพื้นที่แห่งนั้น พวกเราหาทางที่จะแก้ไขธรรมชาติให้เข้ากับเราแทนที่การปรับตัวเข้าหาธรรมชาติ พวกเรากอบโกยและฉกฉวยทุกอย่างกันอย่างบ้าคลั่งจนโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะเวลาไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมา สภาพอากาศเกิดความแปรปรวนก่อนช่วงเวลาอันควร ในขณะที่พวกเราส่วนใหญ่ได้แต่นั่งบ่นว่าธรรมชาติมันโหดร้ายและรุนแรงโดยไม่มองกลับไปถึงสิ่งที่เราได้ทำไว้กับโลกด้วยซ้ำ

พวกเราอยู่ในโลกที่บิดเบี้ยวมาตลอดโดยไม่รู้ตัว โลกที่ผู้บริสุทธิ์กลายเป็นคนที่รับผลกระทบจากเรื่องต่าง ๆ มากที่สุด ในขณะที่ผู้ที่ทำให้เกิดเรื่องต่าง ๆ สามารถนั่งยิ้มอย่างมีความสุขโดยแทบจะไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้นได้ พวกเราพร้อมใจกับมอบอำนาจให้กับคนที่เห็นแก่ตัวและสนใจแต่ผลประโยชน์มากกว่าคนที่มองถึงความเป็นจริงของสภาพสังคมและพร้อมจะช่วยพัฒนาทุกอย่างให้ดีขึ้น ในขณะเดียวกันพวกเราส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะมาร้องโอดครวญเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ทำตัวเหมือนเป็นคนที่สนใจในอนาคตของสิ่งต่าง ๆ ทั้งที่การกระทำของเราก็ยังคงเหมือนเดิมไม่มีอะไรพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลง

มันคงจะดีมากเลยนะถ้าพวกเราจะลดความเห็นแก่ตัวลงบ้าง แล้วลงมือช่วยกันเพื่อพัฒนาสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวเราไม่ใช่แค่กับสังคมมนุษย์แต่กับโลกของเราทั้งใบให้ดีขึ้น มันคงจะดีไม่น้อยที่มนุษย์ส่วนใหญ่จะคิดได้ว่า เราต่างหากที่เป็นฝ่ายต้องการธรรมชาติ ไม่ใช่ธรรมชาติที่ต้องการเรา แล้วมันจะดีกว่าไหมนะถ้าพวกเราจะ ช่วยกันคนละไม้คนละมือทำหน้าที่เป็นฟันเฟืองเล็ก ๆ บนโลกใบใหญ่นี้ที่ช่วยในการฟื้นฟูทั้งสังคมและธรรมชาติให้ดียิ่งขึ้น ฟื้นฟูสิ่งที่สมควรฟื้นฟูพร้อมทั้งถ่ายทอดความรู้และแนวคิดดี ๆ ให้กับคนรุ่นหลังได้สืบทอดต่อกัน ด้วยสภาพโลกของเราตอนนี้ เราคงยังไม่สามารถทำให้ทุกอย่างมันกลับมาสวยงามได้เหมือนเดิมภายในรุ่นเดียวหรอก แต่ถ้าเราสามารถสอนและแนะแนวทางของคนรุ่นใหม่ให้เกิดจิตสำนึกต่อทั้งสังคมและโลกที่เราอาศัยอยู่มากขึ้น รับรองได้เลยว่าอนาคตของลูกหลานเราจะต้องดีขึ้นมากอย่างแน่นอน

…เหมือนจะนอกเรื่องมาเยอะแล้วสิ งั้นสรุปถึงหนังง่าย ๆ เลยแล้วกัน

สำหรับหนัง Alpha นั้นโดยส่วนตัวผม เรื่องนี้ถือว่าห้ามพลาดสุด ๆ ถ้า

  • คุณเป็นคนรักหมา
  • คุณชอบดูหนังภาพสวย ๆ
  • คุณจะไม่ง่วง ไม่หลับ แม้หนังจะไม่มีฉากมัน ๆ หรือฉากใจเต้นให้ลุ้นก็ตาม
  • ชอบฉาก Helicopter shot ถ่ายวิวกับ landscapes สวย ๆ (ผสม CG บ้าง)
  • เหนื่อยกับชีวิตและต้องการเวลาชั่วโมงกว่า ๆ มาเติมไฟกับรอยยิ้มเล็ก ๆ ในชีวิตคุณ
  • คุณเป็นคนที่จริตในการดูหนังตรงกับผม (ข้อนี้น่าจะวัดยากหน่อย)

แต่ถ้าคุณไม่ค่อยชอบอะไรข้างบนนั้นเลยแล้วลังตามหาหนังสักเรื่องมาดู อย่าไปเลย เสียดายเงิน

คะแนนจากจริตส่วนตัว 9/10 (หัก 1คะแนน รับไม่ได้กับคนยุคหินฟันขาวสวยเรียงตัวเป็นแถวมาก ๆ)

คะแนนแบบไม่ได้มากจากจริตส่วนตัว 7/10