บ้านอีต่อง เหมืองปิล็อก หมอก ป่า และภูเขา

เนื่องจากช่วงปีที่ผ่านมาไม่ได้ว่างไปเที่ยวที่ไหนเลย ใน Blog นี้ก็เลยเต็มไปด้วยเรื่องราวอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด แต่ในที่สุดวันนี้เราก็ได้เริ่มกลับไปลุยเที่ยวกันอีกแล้ว และครั้งนี้เป้าหมายของเราก็คือ บ้านอีต่อง – เหมืองปิล็อก นั่นเอง

ที่มาของทริปนี้ต้องบอกเลยว่ามาจากความใจง่ายล้วน ๆ คือในระหว่างที่กำลังนั่งทำงานอยู่เราดันได้ยินพี่ ๆ ในออฟฟิศที่นั่งอยู่ข้างหลังพูดว่า “ช่วงนี้ปิล็อกสวย” ไอ้เราก็สงสัย อะไรคือ [ปิล็อก] วะ ก็เลยลองเข้า Google ไปค้นดู… รู้ตัวอีกทีเย็นนั้นก็จองที่พักไปแล้ว สัปดาห์ต่อมาก็เดินทางเลย บอกแล้วว่ามาจากความใจง่ายล้วน ๆ

คนนั่งรอขึ้นรถที่ บขส. กาญจนบุรี

เราเริ่มออกเดินทางจากบ้านในกรุงเทพฯตั้งแต่ตีห้า ไปถึงบขส. หมอชิตที่ยังคงเงียบและวังเวงอยู่พอสมควรก่อนจะซื้อตั๋วรถเพื่อเดินทางต่อไปยังกาญจนบุรี แล้วพอรู้ตัวอีกทีเราก็มานั่งมึนรอรถอยู่ที่กาญแล้ว

คนขับรถขนส่งสูงวัย จาดกาญจนบุรี-ทองผาภูมิ

หลังจากที่นั่งลงยังไม่ทันได้ตั้งสติดี ลุงคนขับรถที่น่าจะมีประสบการณ์ขับรถไปกลับเส้นทางนี้มามากกว่าอายุเราก็กระโดดขึ้นมา ติดเครื่อง แล้วก็ออกรถไปทันที

ภาพวิวถนนหลังออกจากตัวเมืองกาญจนบุรี

รถเมล์เก่าส่งเสียงเครื่องดังเหมือนจรวดที่กำลังถูกปล่อยตัวทุกครั้งที่ต้องขึ้นเนินแบบเอื่อย ๆ แถมลุงคนขับก็ตะโกนบอกผู้โดยสารทุกคนที่ขึ้นลงตลอดว่า “เร็วครับ รถทำเวลาครับ” แน่สิ มันก็ต้องรีบทำเวลาล่ะนะ เพราะแค่แรงขับขึ้นเนินของรถยังแทบจะไม่มีเลย

DSC07040

คนขับมอเตอร์ไซค์ขึ้นเขาฝ่าฝนและหมอกที่กาญจนบุรี

หลังจากนั่งรถไปเกือบสามชั่วโมงด้วยความช้าเหมือนเต่าคลาน สุดท้ายเราก็มาถึงตัวเมืองอําเภอทองผาภูมิ และเจอรถสองแถวสีเหลืองที่เต็มไปด้วยชาวบ้านท้องที่ กำลังติดเครื่องขับขึ้นอีต่อง ด้วยความรีบร้อนขี้เกียจรอรถใหม่ เราก็เลยกระโดดขึ้นรถคันข้างหน้าไปเลย ที่เหลือค่อยว่ากัน

แล้วสิ่งดีงามสุด ๆ ก็เกิดขึ้นกลางทาง พอนั่งรถไปได้ชั่วโมงกว่าฝนก็ตกจ้า ตกหนักสลับตกเบาสลับตกหนักวนไปตลอดจนขึ้นไปถึงบ้านอีต่องข้างบนในที่สุด ที่เด็ดไปกว่านั้นคือสองแถวคันนี้ดันไม่ผ้าพลาสติกไว้ปิดกันฝนด้วย (ความจริงมันก็มีอย่างข้างรถนั่นล่ะ แค่มันขาดจนใช้ไม่ได้) ไอ้เราก็ยังพอนั่งอยู่ในรถ จะสงสารก็แต่นักบิดทั้งหลายที่บิดมอเตอร์ไซค์ตามหลังมากันนั่นล่ะ

ชายหญิงเดินกางร่มกลางฝนผ่านป้ายหน้าร้าน

พอขึ้นมาถึงสิ่งแรกที่ทำก็คือ… หาที่นั่งหลบฝน จนกว่าฝนจะเบาพอออกเดินไปตามหาที่พักได้ ที่สำคัญเนื่องจากเราจองที่พักแบบมักง่ายมาก ตอนไปถึงก็คือลืมชื่อที่พักกับตำแหน่งไปแล้วจ้า เพราะอย่างนั้นร้านกาแฟชาวบ้านก็เลยเป็นที่พักอย่างดีให้นั่งไถ Line จนไปเจอว่าเราจองที่พักไว้ที่ไหน

Lobby โฮมสเตย์ชาวบ้าน

แล้วสุดท้ายก็มาเจอที่พักของเราจนได้ เป็นบ้านเดินขึ้นไปบนเนิน ไม่ได้อยู่ติดทำเลดี ๆ อะไร ที่ประทับใจที่สุดก็คงเป็นโต๊ะ Lobby แบบ DIY ตัวนี้ละมัง (มิน่ามันถึงถูกกว่าที่ขนเขาไปกัน)

ต้นไม้เดี่ยวกลางป่าและหมอกหนา

จะนั่งรอฝนหยุดอย่างเดียวก็คงไม่ได้อะไร เราเลยลองออกไปเดินเล่นดู อุปกรณ์ก็มีแค่กล้องกับเสื้อกันฝน ลุยออกไปทางหลังหมู่บ้าน เดินขึ้นเขาไปแถวทางที่ชาวบ้านบอกไม่มีใครไปหรอก ไถโคลนบ้าง ปีนบ้าง แล้วรู้ตัวอีกทีเราก็มาอยู่กลางเนินเขาสวย ๆ กลางสายหมอกแล้ว

หลังคาในบ้านอีต่องกลางสายหมอก

หลังจากนั้นฝนก็ยังคงตกตลอดทั้งวันและยิ่งตกหนักขึ้นจนสุดท้ายเราก็ตัดสินใจเดินกลับ แล้วก็ผ่านวันแรกไปแบบเงียบ ๆ กับสายฝนที่ตกกระหน่ำเหมือนมีคนมาตีกลองหน้าบ้านทั้งคืน

ชาวบ้านบ้านอีต่องขับรถออกมาทำกิจกรรมหลังฝนตก

โชคดีที่เช้าวันถัดมาฝนหยุดตกตอน 7 ครึ่ง เราก็เลยเริ่มออกไปเดินเล่นได้ ก่อนที่จะเดินต่อไปยังเนินช้างศึก

วิวของแนวเขาจังหวัดกาญจนบุรีใกล้ชายแดนหลังฝนตกและฟ้าเพิ่งเปิด

ถ้าถามว่าทำไมเราเลือกจะเดินขึ้นเขาหลายกิโลแทนที่จะเช่ารถชาวบ้านไป ก็คงเพราะวิวข้างทางพวกนี้ละมั้ง เพราะถ้าเรานั่งรถผ่านทุกอย่างขึ้นไป เราก็คงจะพลาดยืนสูดอากาศชมวิวอะไรแบบนี้ไปอีกเพียบเลย

ต้นไม้บนเนินเขากลางสายหมอก

ฐานปฏิบัติการช้างศึก ตำรวจตระเวนชายแดน ที่ 135 กลางหมอกหนา

ระหว่างทางเดินขึ้นไป หมอกก็เริ่มกลับมาลงหนาอีกครั้ง จนพอเดินขึ้นไปถึงเนินช้างศึกก็แทบมองอะไรไม่เห็นอีกครั้งนอกจากหมอกสีเทา สุดท้ายก็เลยตัดสินใจเดินกลับลงมา และมุ่งหน้าไปยังน้ำตกจ๊อกกระดิ่นที่ห่องไปอีก 5-6 กิโลแทน

เนินเขากลางฟ้าครึ้มระหว่างทางเดินไปน้ําตกจ๊อกกระดิ่น

ด้านท้องฟ้าตัวดีก็ สลับมืด สลัว สว่าง สลัว มืด อยู่แบบนี้ทั้งวัน

น้ําตกจ๊อกกระดิ่น ช่วงปลายเดือนกรกฎาคม

แล้วสุดท้ายก็มาถึงน้ำตกจ๊อกกระดิ่น กับน้ำฟ้าสวย ใส เย็น แรงดี และเป็นที่แรกที่เราเสียเลือดให้กับทริปนี้ตามสูตร [ไปเที่ยวทุกครั้งต้องเลือดออก] ที่เหลือหลังจากนั้นก็คือการเดินเล่นตามหาอะไรสวย ๆ ไปเรื่อย

หมาของตำรวจตระเวนชายแดนนอนหลับอยู่ที่ฐานปฏิบัติการช้างศึก

แมวสองตัว นอนหลับ บนหลังคารถ บ้านอีต่อง

แล้วที่ประทับใจมากที่นี่อย่างนึงคือ แมวเยอะมาก มากแบบเดินไปไหนก็มีแต่แมว แต่พอเดินขึ้นเนินช้างศึกมา ก็เจอหมาเยอะมาก เหมือนทั้งคู่แบ่งเขตกันว่า บ้านชาวบ้านเป็นที่ของแมวนะ ส่วนหมาไปอยู่กับ ตชด. แล้วกัน

บ่อน้ำบ้านอีต่องในหมอกตอนฝนตก

เหมืองปิล็อกกลางสายหมอกและขุนเขา

พอวันที่สามเราก็ไม่ได้ทำอะไรมาก ตื่นเช้าแต่งตัว ขึ้นรถ กว่าจะกลับถึงบ้านก็เย็นแล้ว สลบนอน จบทริปสั้น 3วัน 2คืน ไปแบบสบาย ๆ

แล้วก็นั่นล่ะทริปบ้านอีต่อง – ปิล็อก ที่ไม่ได้ไปไหนมากเพราะเน้นเดินเอา แค่วันเดียวไปได้ที่สองที่ก็หมดแล้ว ที่แต่ก็โชคยังดีนะที่ขากลับเจอรถกระบะของพี่ตชด. พอดี ก็เลยติดรถเขากลับมาอีต่องได้ ไม่อย่างนั้นคงเดินกันจนแสงหมดเปิดไฟฉายกับ GPS หาทางกลับแน่ ๆ เลย

แต่ก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้วที่เลือกเดิน เพราะถ้าไม่ออกเดินนอกลู่นอกทาง ก็คงไม่ได้วิวสวย ๆ แบบนี้กลับมาแน่เลย

แนวเขาจังหวัดกาญจนบุรีกลางทะเลหมอกและเมฆที่น่าอัศจรรย์

รูปที่ชอบที่สุดเป็นการส่วนตัว เดินออกมาจากอีต่องประมาณ 5-6 ชั่วโมงได้ อยู่ตรงขอบผา ไม่มีจุดบนแผนที่ และแน่นอนว่าอยู่นอกเส้นทาง