“ขอโทษครับ คุณพูดภาษาอังกฤษได้ไหม” เราถูกทักโดยคุณลุงคนหนึ่งในเสื้อยืดกับหมวกแกสบี้หนังสีส้มผิดผมบนหัวที่เริ่มเปลี่ยนสี เราถอดหูฟังออกก่อนจะตอบเขาว่าเราพูดได้ “พอดีผมกำลังหาซื้อกระเป๋าเดินทางใหม่ กระเป๋าที่คุณใช้อยู่นี่ขนาดเท่าไหร่นะ” คุณลุงตรงหน้าถามเรา “50 ลิตรครับ เป็นกระเป๋ากล้องกับกระเป๋าเดินทางรวมกัน” เราเปิดกระเป๋าให้คุณลุงดูพร้อมกับแนะนำแบรนด์ของกระเป๋าและบอกเขาว่ามันทำอะไรได้บ้างเหมือนกับเราเป็นเซลส์ของกระเป๋ารุ่นนี้หลุดมานั่งรอดักขายของบนรถไฟ หลังจากได้นั่งพูดคุยกันเรื่องกระเป๋าเดินทางพวกเราก็เลยมีโอกาสได้รู้จักกันมากขึ้นจนรู้ว่าคุณลุงชื่อว่าแม็ก มาจากอิตาลี่และกำลังเดินทางไปหาลูกสาวที่ Lewes ระหว่างทางคุณลุงแม็กนั่งมองออกไปนอนหน้าต่างดูวิวข้างทางก่อนยิ้มออกมาเล็ก ๆ แล้วเริ่มเล่าเรื่องราวในสมัยหนุ่มกับการเดินเท้าผ่านเส้นทางแสวงบุญเป็นเวลาหนึ่งเดือนให้เราฟัง สีหน้าของลุงแม็กเต็มไปด้วยรอยยิ้มตลอดเวลาที่เขาเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นในฝรั่งเศสไปจนถึงอาสนวิหารแห่งเมืองซานเตียโกเดกอมโปสเตลาที่ประเทศสเปน ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางผ่านป่าเขาใต้แสงจันทร์ ลงเล่นน้ำดับร้อนกลางแม่น้ำระหว่างทาง ตกดึกแวะพักแรมกับคนแปลกหน้าพร้อมเบียร์เย็น ๆ สักแก้ว และประสบการณ์ที่มีกับเพื่อนร่วมทางมากมายที่เขาได้พบเจอ เรานั่งคุยกันเพลินจนลืมเวลาก่อนที่จะได้ยินเสียงขานเรียกของรถไฟว่ากำลังจะถึงเมืองเป้าหมายของเราทั้งคู่ พวกเราเลยหยิบกล้องขึ้นมาเพื่อเก็บภาพของอีกฝ่ายไว้เป็นความทรงจำก่อนจะแยกย้ายจากกันพร้อมกับอวยพรให้อีกฝ่ายได้พบเจอกับชีวิตที่ดีในอนาคต เวลา 11:20 ในที่สุดเราก็มาถึง Seaford เมืองเล็กติดริมทะเลที่เคยผ่านทั้งจุดรุ่งเรืองและตกต่ำก่อนจะกลับมาตั้งตัวได้อีกครั้งเมื่อทางรถไฟเชื่อมต่อมาถึงและผันตัวเองเป็นเมืองท่องเที่ยวริมทะเลที่ห่างจากลอนดอนไปแค่สองชั่วโมง หลังลงจากรถไฟเรารีบตรงดิ่งเข้าร้านสะดวกซื้อที่อยู่ติดกับสถานีเพื่อเตรียมข้าวกลางวันและอาหารที่เราจะเอาไปกินเติมพลังระหว่างทาง เพราะทริปนี้เราไม่ได้แค่มานั่งเล่นริมทะเลแต่เราจะเดินเท้าข้ามเมืองเป็นระยะทางกว่ายี่สิบกิโลเพื่อไปขึ้นรถไฟกลับที่ Eastbourne หลังเตรียมอาหารเสร็จเรียบร้อยเราก็เริ่มมุ่งหน้าไปยังริมหาดก่อนเดินเลาะริมขอบทะเลไปทางทิศตะวันตกทันที ไม่นานหลังจากนั้นเราก็เผชิญหน้ากับผาหินชอร์กขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านยืนสู้กับลมและน้ำทะเลที่คอยกัดเซาะมันจนกร่อนและพังทลายลงทุกปี หลังจากเราเดินขึ้นมาจนถึงยอดเนินของผาหินแรก เส้นทางในวันนี้ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเรา ทอดยาวออกไปสุดสายตาพร้อมกับเนินผามากมายและนักเดินทางคนอื่นที่เดินนำหน้าเราอยู่ไกล ๆ เราเดินผ่านเนินขึ้นลงสลับกันไป ซ้ายมือเป็นเนินเขาและทุ่งหญ้ายาวจรดเส้นขอบฟ้า ด้านขวามือเป็นทะเลสีฟ้าส่องประกายทอดยาวจนสุดสายตา มีแค่เสียงลม เสียงฝีเท้าและเสียงร้องของนกนางนวลที่ใช้ชีวิตอยู่ตามริมผาเป็นเพื่อนร่วมทางไปตลอดระยะเวลากว่า 6 ชั่วโมงตลอดการเดินจนในที่สุดเราก็มาถึง Eastbourne ที่ปลายทางก่อนจะรู้ว่ารถไฟเที่ยวที่เราจองไว้ถูกยกเลิกและเราต้องรีบไปขึ้นรถไฟเที่ยวสุดท้ายให้ทัน เราไปถึงสถานีตอนเหลือเวลาแค่ 5 นาทีก่อนที่รถไฟจะออก จนเราต้องออกแรกวิ่งสุดชีวิตเพื่อกระโดดขึ้นรถไฟให้ทันเวลาก่อนยืนหายใจหอบพร้อมกับมองประตูที่ค่อย …
Continue reading Seven Sisters เดินเล่นรับลมข้างหน้าผาริมทะเล
