หมูตุ๋น เคาหยก

แหลมทองโภชนา อาหารจีนแคะ ถนน.เจริญกรุง

เป็นช่วงเที่ยงวันเสาร์ที่ผมกลับจากการไปเรียนซอตามปรกติ แต่ด้วยความคิดอะไรสักอย่างในวันนั้นผมเลยตัดสินใจขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินไปลงที่สถานีวัดมังกร แทนที่จะขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้านตามปรกติ คิดไว้ว่าวันนี้มันว่าง ลองไปเดินเล่นหาอะไรกินก็แล้วกัน ถนนตรงนั้นไม่ได้มีผู้คนคับคั่งเพราะเวลาตอนที่ไปถึงยังแค่ 11 โมงครึ่งไม่ถึงเที่ยงดี แถมยังไม่ใช่วันสำคัญหรือวันอะไรก็ตามแต่ตามความเชื่อที่จะทำให้คนแห่กันไปไหว้พระขอพรกันแถวนั้น ผมเลี้ยวขวาออกจากสถานีและไปตามถนนเจริญกรุง ผ่านวัดมังกรที่คุ้ยเคยเพราะตั้งแต่เด็กก็จะมีญาติผู้ใหญ่ที่บ้านชวนให้ไปทุกปีในช่วงตรุษจีน ก่อนจะเลี้ยวซ้ายข้ามสี่แยกที่มีร้านเครื่องเพชรสองร้านตั้งอยู่ตรงหัวมุมฝั่งตรงข้ามเพื่อเดินเข้าซอยเจริญกรุง 12 ผมเดินเลี้ยวเข้าไปในซอยเพราะเห็นว่ามีคนมุงดูกันอยู่เต็มไปหมด พอไปถึงจึงพบว่ามีรถพญาบาลคันโตจอดปิดถนนไว้ทั้งเส้นเพื่อที่จะนำตัวคนป่วยออกจากบ้านหลังหนึ่งภายในซอย ในระหว่างนั้นสายตาผมได้ไปสบกับคุณลุงคนหนึ่งที่กำลังยืนอยู่หน้าซอย "หาอะไรกินเหรอหนุ่ม มีร้านข้างบนอร่อยนะ ขึ้นไปเลยก่อนถึงศาลเจ้า" ลุงคนนั้นทักผมเหมือนรู้ว่าผมกำลังมาเดินหาของกิน ก่อนที่จะชี้มือไปยังบันไดเล็ก ๆ ข้างตัวตึกที่มีป้ายศาลเจ้าสีแดงขนาดใหญ่เขียนไว้ว่า ศาลเจ้าม้าเก็ง หลังจากขึ้นบันไดไปถึงชั้นสองทางขวามือผมก็เห็นประตูของร้านอาหารที่เปิดรอรับแขกอยู่ แต่พอเดินเข้าไปร้านกลับเงียบสนิทไม่มีใครอยู่ในนั้นเลย มีแต่หลอดไฟที่เปิดสว่างไว้กับพัดลมเพดานตัวเก่าที่หมุนอยู่ช้า ๆ ผมเดินขึ้นไปต่อหวังว่าจะไปถามใครสักคนในศาลเจ้าว่าร้านอาหารเปิดหรือยัง แต่ก่อนที่จะเดินขึ้นไปถึงก็ได้ยินเสียงดังมาจากห้องครัวทางซ้ายมือ มันเป็นเสียงของพี่เจ้าของร้านที่กำลังนั่งอยู่ในครัว "มากินข้าวเหรอ ขอโทษทีพอดีเชงเม้งอยู่ เดี๋ยวเปิดแอร์ให้นะ" เขาบอกกับผมก่อนจะจัดแจงพาผมกลับเข้ามาเปิดแอร์ให้นั่งในร้าน พร้อมกับหยิบเมนูชุดหนึ่งมาให้เราเปิดเลือก ตามมาด้วยน้ำชาร้อนหนึ่งกา ในเมนูมีแต่อาหารน่ากินเต็มไปหมด แต่วันนั้นผมมาคนเดียวถ้าให้สั่งเกินหนึ่งหรือสองอย่างอาหารที่ออกมาคงจะเยอะจนกินไม่หมดแน่ หลังจากกวาดตาวนรอบเมนูอยู่เกือบห้ารอบผมก็ตัดสินใจสั่งอาหารมาสองอย่าง คือเคาหยกที่เป็นหมูสามชั้นตุ๋นกับผักในหม้อพร้อมเคาะลงจานให้กินในทันที กับเส้นหมี่ผัดข้าวหมาก หลังจากนั่งรอไม่นานอาหารทั้งสองอย่างก็ถูกนำออกมาจากครัว ตัวหมูสามชั้นและผักถูกปรุงรสชาติมาให้เค็มกำลังดีกลมกล่อมไม่รสจัดจนเกินไปทำให้สามารถกินเปล่า ๆ ได้ เนื้อหมูอาจจะไม่นุ่มจนถึงกับละลายในปากแต่ก็ไม่เหนียวจนต้องเคี้ยวมาก ยิ่งราดน้ำจิ้มแคะที่ทางร้านเอามาให้ยิ่งทำให้กินได้ไม่หยุด แถมยังทำให้คิดไปตลอดว่าถ้าลองได้กินกับข้าวสวยด้วยก็คงจะดี เส้นหมี่ผัดข้าวหมาก ใส่ถั่วลันเตา เห็ด ลูกชิ้น และปลาหมึกแห้ง รสชาติเค็มน้ำหวานตามแถมยังมีรสเปรี้ยวติดมานิด …

Continue reading แหลมทองโภชนา อาหารจีนแคะ ถนน.เจริญกรุง

วิธีเล่นหมากรุก สอนอะไรเราใน วิธีใช้ชีวิต

ช่วงนี้เรากำลังกลับมาติดหมากรุกหลังจากห่างหายไปนานตั้งแต่สมัยมัธยม การกลับมาเล่นอะไรอย่างหมากรุกในช่วงชีวิตใกล้เลข 3 ที่ตอนนี้เริ่มมีหลายเรื่องในชีวิตวิ่งเข้ามากระแทกหน้าตลอดเวลาก็ทำให้เราได้เห็นความคล้ายกันในบางจุด ระหว่างหมากรุกกับชีวิตของเรา ในการเล่นหมากรุก วิธีที่ดีที่สุดที่จะชนะอีกฝ่ายก็คือการเดินหมากไปในจุดที่ดีที่สุดที่เราจะทำได้ในตานั้น ซึ่งการเดินหมากที่ดีมันจะส่งผลให้ตาต่อไปของเราเล่นง่ายขึ้น เราสามารถวางรากฐานสำหรับกลยุทธ์ที่เตรียมไว้ในอนาคตได้ แต่ไม่ว่าเราจะเดินหมากดียังไง สุดท้ายถ้าเราเผลอพลาดแค่ครั้งเดียว มันก็อาจจะทำให้เราพลิกกลับมาแพ้ในเกมนั้นเลยทันทีก็ได้ การใช้ชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งจะว่าไปมันก็แทบไม่ต่างอะไรกับการเดินหมากรุกเลย เราพยายามจะมองทุกความเป็นไปได้รอบตัวและเลือกการก้าวเดินที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง ในขณะเดียวกันบางครั้งเราก็พลาดทำอะไรโง่ ๆ ลงไปจนชีวิตเกิดปัญหาติดพันระยะยาวได้เหมือนกัน การได้มานั่งเล่นหมากรุกมาก ๆ มันเลยสอนให้เราได้เห็นว่า ชีวิตเรามีทางเลือกเสมอ ถึงแม้บางครั้งทางเลือกที่มีมันจะมีแต่ แย่ โคตรแย่ แย่บัดซบ ให้เลือกก็ตาม และเมื่อถึงเวลาที่เราเจอแต่ตัวเลือกที่ไม่ดีให้เลือก เราก็คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด ถึงแม้บางครั้งมันจะยังเป็นทางเลือกที่แย่ก็ตาม เราว่ามันไม่มีหรอก "ชีวิตไม่มีทางเลือก" มันมีแค่ชีวิตที่มีแต่ทางเลือกที่เราไม่อยากจะเลือกมากกว่า แต่สุดท้าย ไม่ว่าทางเลือกที่มีมันจะดี จะเลวบัดซบ จะร้ายแค่ไหน สุดท้ายแนวคิดเดิมในการเลือกก็ยังเป็นสิ่งที่เรายึดถือและใช้ได้เสมอ และมันจะช่วยพาเราก้าวไปข้างหน้าตลอดเวลาอย่างแน่นอน "แค่เลือกทางเดินที่ดีที่สุด" และในหลาย ๆ ครั้งเมื่อเรารู้สึกว่าไม่มีทางเลือกไหนดีกว่าที่เรามองได้เลย มันก็ไม่เสียหายที่เราจะหันไปถามเพื่อนข้าง ๆ ว่าหมากตานี้มีวิธีเดินแบบไหนที่ดีกว่าที่เราคิดได้ไหม (รอบนี้รูปมาจาก pixabay เราไม่ได้ถ่ายเองนะ)

Whitby: Dracula + Fish & Chips

เวลาหนึ่งทุ่มห้าสิบห้านาที ขบวนรถไฟจอดเทียบกับชานชาลาหมายเลขหนึ่งของสถานี Whitby เราลงจากรถไฟพร้อมกับกลุ่มวัยรุ่นอีกห้าคนที่เดินทางมาด้วยกันในขบวนรถไฟคันน้อยที่มีแค่สองตู้ ถึงจะยังเป็นแค่หัวค่ำแต่เมืองทั้งเมืองกลับเงียบสงัดจนเราได้ยินแค่เสียงฝีเท้ากับเสียงใบไม้ที่เสียสีกันเพราะลมพัดผ่าน ถนนเส้นเล็กจากสถานีตรงขึ้นไปถึงโรงแรมยังคงสว่างด้วยแสงไฟจากป้ายและหน้าต่างเป็นระยะรวมไปถึงไฟตกแต่งเตรียมต้อนรับวันฮาโลวีนที่กำลังจะมาถึง จากสถานีรถไฟไปประมาณสิบนาทีก็มาถึงที่พักของเรา ไฟสีส้มนวลตาจากชั้นล่างของโรงแรมที่ถูกเปิดเป็นผับยังคงส่องสว่างอยู่พร้อมกับเสียงพูดคุยของชาวเมืองที่แวะมานั่งกินดื่มพักผ่อนหลังเลิกงานดังลอดออกมาจนถึงกลางถนน บาร์เทนเดอร์หญิงสาวผมทองที่คอยรินเบียร์ให้กับลูกค้าในผับยิ้มต้อนรับเราทันทีที่เราเปิดประตูเข้ามาในร้านก่อนจะพาเราเดินขึ้นบันไดเมื่อเราบอกว่ามาเช็คอินโรงแรม ห้องนอนของเราเป็นห้องใต้หลังคาเล็ก ๆ บนชั้นสี่ที่ตอนนี้ถูกเปลี่ยนเป็นห้องพักสำหรับแขกชั่วคราวพร้อมกับห้องน้ำในตัว ในตอนเช้าเราเดินเล่นออกจากโรงแรมไปยังท่าเรือ ฝนที่กระหน่ำลงมาตลอดทั้งคืนและเพิ่งหยุดได้ไม่นาน ทำให้ตอนนี้แทบจะไม่มีชาวบ้านหรือนักท่องเที่ยวมาเดินเล่นในบริเวณนี้ ที่จะเห็นก็มีแค่เรือหาปลาที่กลับมาตั้งแต่เช้ามืดจอดเรียงรายอยู่พร้อมกับกรงและตาข่ายที่ยังเต็มไปด้วยกลิ่นคาวปลาจากเมื่อเช้า ถัดจากท่าเรือส่งปลาไม่ไกลสภาพบ้านเรื่อก็เริ่มเปลี่ยนไป ตัวอาคารติดถนนเรียงรายไปด้วยร้าน Fish & Chips จำนวนมากในขณะที่ทางฝั่งริมน้ำก็เต็มไปด้วยซุ้มขายอาหารต่าง ๆ เดินจากท่าเรือมาไม่ไกลก็จะถึงสะพานยกข้ามแม่น้ำ Esk ที่แบ่งเมืองนี้ออกเป็นสองฝั่ง สิ่งแรกที่เราสัมผัสได้เมื่อข้ามฝั่งมาคือกลิ่นของเทียนหอมจากร้านขายของน่ารักตกแต่งบ้านตามข้างทางที่โชยออกมาประชันกันบนถนน ตัวเมือง Whitby ในฝั่งตะวันออกคึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวที่แวะมากันไม่ขาดสายเพื่อเที่ยวชมเมืองเก่าและตลาดที่ถูกสร้างขึ้นย้อนไปตั้งแต่สมัยปี 1640 ยิ่งเราเดินไปตามถนนร้านขายของทั่วไปก็ค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยร้านเครื่องประดับที่ทำจากเจ็ท อัญมณีสีดำชื่อดังของเมือง เราเดินเล่นชมเมืองเก่า แวะเข้าร้านนู้นออกร้านนี้ ซื้อหนังสือ ขนม และของฝากได้ยังไม่ทันถึงบ่ายโมง ฝนตัวดีที่นึกว่าจะหยุดไปแล้วแต่เช้าก็เทกระหน่ำลงมาอีกจนคนเดินถนนต้องหาที่หลบกันจ้าละหวั่น เราวิ่งจากถนนเข้าไปยืนหลบหน้าร้านขายช็อกโกแลตเล็ก ๆ ที่ตกแต่งด้วยแผ่นป้ายทาสีแดงทองย้อนยุคและขนมรูปทรงน่ากลัวเข้ากับเดือนตุลาคมและเทศกาลสำคัญที่กำลังจะมาถึงในตอนสิ้นเดือน กลิ่นหอมจากด้านในร้านโชยออกมาสู้กับกลิ่นดินและฝนภายนอกจนเราต้องเดินตามมันเข้าไปในร้านแบบอดใจไว้ไม้ได้ "เธอยืนอยู่ในร้านกับกลิ่นหอม ๆ แบบนี้ทั้งวันได้ยังไงกัน" เราได้ยินคุณลุงคนหนึ่งกับภรรยาถามเจ้าของร้านพลางมองดูเตาด้านหลังที่กำลังเคี่ยวช็อกโกแลตสดใหม่อยู่ "ฉันอยู่กับมันทั้งวันจนไม่ได้กลิ่นอะไรแล้ว" เธอตอบคุณลุงคนนั้นก่อนจะจัดแจงหยิบขนมที่เขาสั่งใส่ถุงและคิดเงิน หลังจากที่คุณลุงคนนั้นเดินออกไป เราก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับเธอเล็กน้อยจนได้รู้ว่าร้านนี้เป็นร้านขนมของครอบครัวที่เปิดมาได้สามสิบปีแล้ว หลังฝนเริ่มซาลงเราก็เดินออกจากร้าน ฝั่งตรงข้ามของร้านขนมเป็นถนนโค้งขึ้นมาจากท่าเรือเก่าตามด้วยบันไดหิน 199 …

Continue reading Whitby: Dracula + Fish & Chips

Seven Sisters เดินเล่นรับลมข้างหน้าผาริมทะเล

“ขอโทษครับ คุณพูดภาษาอังกฤษได้ไหม” เราถูกทักโดยคุณลุงคนหนึ่งในเสื้อยืดกับหมวกแกสบี้หนังสีส้มผิดผมบนหัวที่เริ่มเปลี่ยนสี เราถอดหูฟังออกก่อนจะตอบเขาว่าเราพูดได้ “พอดีผมกำลังหาซื้อกระเป๋าเดินทางใหม่ กระเป๋าที่คุณใช้อยู่นี่ขนาดเท่าไหร่นะ” คุณลุงตรงหน้าถามเรา “50 ลิตรครับ เป็นกระเป๋ากล้องกับกระเป๋าเดินทางรวมกัน” เราเปิดกระเป๋าให้คุณลุงดูพร้อมกับแนะนำแบรนด์ของกระเป๋าและบอกเขาว่ามันทำอะไรได้บ้างเหมือนกับเราเป็นเซลส์ของกระเป๋ารุ่นนี้หลุดมานั่งรอดักขายของบนรถไฟ หลังจากได้นั่งพูดคุยกันเรื่องกระเป๋าเดินทางพวกเราก็เลยมีโอกาสได้รู้จักกันมากขึ้นจนรู้ว่าคุณลุงชื่อว่าแม็ก มาจากอิตาลี่และกำลังเดินทางไปหาลูกสาวที่ Lewes ระหว่างทางคุณลุงแม็กนั่งมองออกไปนอนหน้าต่างดูวิวข้างทางก่อนยิ้มออกมาเล็ก ๆ แล้วเริ่มเล่าเรื่องราวในสมัยหนุ่มกับการเดินเท้าผ่านเส้นทางแสวงบุญเป็นเวลาหนึ่งเดือนให้เราฟัง สีหน้าของลุงแม็กเต็มไปด้วยรอยยิ้มตลอดเวลาที่เขาเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นในฝรั่งเศสไปจนถึงอาสนวิหารแห่งเมืองซานเตียโกเดกอมโปสเตลาที่ประเทศสเปน ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางผ่านป่าเขาใต้แสงจันทร์ ลงเล่นน้ำดับร้อนกลางแม่น้ำระหว่างทาง ตกดึกแวะพักแรมกับคนแปลกหน้าพร้อมเบียร์เย็น ๆ สักแก้ว และประสบการณ์ที่มีกับเพื่อนร่วมทางมากมายที่เขาได้พบเจอ เรานั่งคุยกันเพลินจนลืมเวลาก่อนที่จะได้ยินเสียงขานเรียกของรถไฟว่ากำลังจะถึงเมืองเป้าหมายของเราทั้งคู่ พวกเราเลยหยิบกล้องขึ้นมาเพื่อเก็บภาพของอีกฝ่ายไว้เป็นความทรงจำก่อนจะแยกย้ายจากกันพร้อมกับอวยพรให้อีกฝ่ายได้พบเจอกับชีวิตที่ดีในอนาคต เวลา 11:20 ในที่สุดเราก็มาถึง Seaford เมืองเล็กติดริมทะเลที่เคยผ่านทั้งจุดรุ่งเรืองและตกต่ำก่อนจะกลับมาตั้งตัวได้อีกครั้งเมื่อทางรถไฟเชื่อมต่อมาถึงและผันตัวเองเป็นเมืองท่องเที่ยวริมทะเลที่ห่างจากลอนดอนไปแค่สองชั่วโมง หลังลงจากรถไฟเรารีบตรงดิ่งเข้าร้านสะดวกซื้อที่อยู่ติดกับสถานีเพื่อเตรียมข้าวกลางวันและอาหารที่เราจะเอาไปกินเติมพลังระหว่างทาง เพราะทริปนี้เราไม่ได้แค่มานั่งเล่นริมทะเลแต่เราจะเดินเท้าข้ามเมืองเป็นระยะทางกว่ายี่สิบกิโลเพื่อไปขึ้นรถไฟกลับที่ Eastbourne หลังเตรียมอาหารเสร็จเรียบร้อยเราก็เริ่มมุ่งหน้าไปยังริมหาดก่อนเดินเลาะริมขอบทะเลไปทางทิศตะวันตกทันที ไม่นานหลังจากนั้นเราก็เผชิญหน้ากับผาหินชอร์กขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านยืนสู้กับลมและน้ำทะเลที่คอยกัดเซาะมันจนกร่อนและพังทลายลงทุกปี หลังจากเราเดินขึ้นมาจนถึงยอดเนินของผาหินแรก เส้นทางในวันนี้ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเรา ทอดยาวออกไปสุดสายตาพร้อมกับเนินผามากมายและนักเดินทางคนอื่นที่เดินนำหน้าเราอยู่ไกล ๆ เราเดินผ่านเนินขึ้นลงสลับกันไป ซ้ายมือเป็นเนินเขาและทุ่งหญ้ายาวจรดเส้นขอบฟ้า ด้านขวามือเป็นทะเลสีฟ้าส่องประกายทอดยาวจนสุดสายตา มีแค่เสียงลม เสียงฝีเท้าและเสียงร้องของนกนางนวลที่ใช้ชีวิตอยู่ตามริมผาเป็นเพื่อนร่วมทางไปตลอดระยะเวลากว่า 6 ชั่วโมงตลอดการเดินจนในที่สุดเราก็มาถึง Eastbourne ที่ปลายทางก่อนจะรู้ว่ารถไฟเที่ยวที่เราจองไว้ถูกยกเลิกและเราต้องรีบไปขึ้นรถไฟเที่ยวสุดท้ายให้ทัน เราไปถึงสถานีตอนเหลือเวลาแค่ 5 นาทีก่อนที่รถไฟจะออก จนเราต้องออกแรกวิ่งสุดชีวิตเพื่อกระโดดขึ้นรถไฟให้ทันเวลาก่อนยืนหายใจหอบพร้อมกับมองประตูที่ค่อย …

Continue reading Seven Sisters เดินเล่นรับลมข้างหน้าผาริมทะเล

เทศกาลดนตรีครั้งแรกในประเทศอังกฤษ

“ตกรถไฟ” คือประสบการณ์แรกของเราที่ได้เจอในการไปงานเทศกาลดนตรีในอังกฤษ... ตั้งแต่ก่อนที่เราจะมาเรียนต่อที่อังกฤษเราก็ได้ยินคนพูดถึงเทศกาลดนตรีที่นี่มาตลอดจนเราเองก็ตั้งใจไว้ว่าก่อนกลับไทยจะต้องลองมางานเทศกาลที่นี่สักครั้งในชีวิตให้ได้ แต่ใครจะไปรู้ว่าแทนที่เราจะได้มาเที่ยว พักผ่อนฟังเพลง เรากลับต้องมาเปิดร้านผัดหมี่ขายอาหารจีนกลางงานเทศกาลแทน เรื่องทั้งหมดมันเริ่มจากการที่เรานั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศแล้วหัวหน้าเราก็ถาม “โป๋ ทำอาหารเป็นไหม” เราก็ตอบทันทีว่าเป็น แล้วรู้ตัวอีกทีสามวันต่อมาเราก็นั่งอยู่บนรถไฟเดินทางไปทำอาหารในงานเทศกาลแล้ว การเดินทางครั้งแรกของเราเป็นรถไฟเที่ยวดึกเพื่อตามทีมชุดแรกที่ขับรถขนของไป แต่เราไม่ได้เดินทางคนเดียวเพราะเราต้องสาวเสิร์ฟสองคนไปกับเราด้วยเพราะคนหนึ่งยังอายุน้อยแถมยังไม่กล้าและไม่เคยเดินทางคนเดียวตอนกลางคืนมาก่อนส่วนอีกคนก็ติดธุระจนเดินทางไปพร้อมกับรถขนของไม่ได้ แล้วน้องผู้ไม่เคยเดินทางมาก่อนก็ดันเข้าใจว่าเวลาบนตั๋วรถไฟไม่ใช่เวลารถไฟออก แต่คือเวลาที่ต้องมาถึงสถานี ซึ่งก็ทำให้เราที่ยืนรออยู่ตกรถไฟตามระเบียบ จะให้จ่ายค่ารถไฟใหม่เราก็ไม่อยากทำเพราะขี้เกียจคุยกับที่บริษัทแล้วอธิบายเหตุผล แถมอาจจะทำให้น้องคนนั้นโดนตำหนิหรือไม่เราก็ต้องรับผิดชอบทุกอย่างเองแทนด้วย ตัวดีที่พาตกรถไฟกันหมด สุดท้ายทางเลือกที่เราทำก็คือ กระโดดขึ้นรถไฟคันอื่นสองต่อเพื่อเดินทางไปที่หมายให้ทันเวลาแทนแล้วก็หวังว่าคนตรวจตั๋วจะไม่มาจับเราว่าตั๋วที่มีไม่ใช่ของรถไฟขบวนนี้ สุดท้ายเราก็มาลงที่เมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้กับจุดหมายไปไม่ไกล แต่เวลาตอนนั้นก็เลยเที่ยงคืนมาแล้ว ไม่มีรถบัสวิ่งผ่านระหว่างเมือง เบอร์โทรของแท็กซี่ท้องถิ่นทุกเบอร์ก็บอกเป็นเสียงเดียวกันตอนเราโทรหาว่ามันดึกเกินไปแล้ว และในขณะที่เรากำลังวางแผนกันว่าจะเดินไปซึ่งน่าจะกินเวลาราวชั่วโมงกว่าก็มีรถเก่า ๆ สีขาวคันหนึ่งขับผ่านมา พวกเราหยุดมองหน้ากันพักหนึ่งก่อนที่จะเริ่มวิ่งตามรถคั้นนั้น พยายามตะโกนและโบกเรียกสุดเสียงให้เขาจอด แล้วมันก็สำเร็จ ลุงคนขับจอดรถลงถามว่าพวกเรากำลังจะไปที่ไหน ก่อนที่จะขับรถพาเราไปส่งจนถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัยถึงจะช้ากว่าเวลาที่วางแผนไว้ไปนิดหน่อย สองสาวนั่งรอเราหาทางเรียกรถแท็กซี่ ห้องพักที่เราได้จากผู้จัดงานเป็นห้องชั้นล่างของโรงแรมข้างทางเล็ก ๆ ที่มีสองชั้นเหมือนโรงแรมติดปั๊มน้ำมันข้างทางหลวงที่เราสามารถเห็นได้ในหนังฝรั่ง มีสองห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น แล้วก็ครัว พวกเราใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงหลังจากไปถึงแปรสภาพที่พักนั้นทั้งหมดให้กลายเป็นโกดังเก็บอาหารแห้งและตู้แช่วัตถุดิบสำหรับตลอดช่วงงานเทศกาล ตู้และชั้นวางของถูกดันไปอีกทางเพื่อหลบให้กับตู้เย็นและตู้แช่แข็ง โซฟาและพื้นห้องเกือบทั้งหมดถูกทับถมไปด้วยอาหารแห้งอย่างเส้นหมี่ แป้งขนมปังกรอบ ซอส และวัตถุดิบเครื่องปรุงรสจนแทบไม่มีที่ให้เดิน พื้นของห้องนอนทั้งสองห้องถูกใช้เป็นที่เก็บเครื่องครัวและข้าวของที่เหลือจนเราแทบต้องกระโดดลงเตียงเพราะไม่เหลือที่ให้เดินแล้ว ทุกเช้าเราต้องคอยมาสับสวิตช์เพื่อเลือกว่าจะให้น้ำไหลไปที่ไหนระหว่างห้องครัวกับห้องน้ำเพราะระบบท่อที่นี่ไม่สามารถส่งน้ำไปทั้งสองห้องพร้อมกันได้ ห้องครัวในตอนเช้าถูกใช้ไปกับการหั่นผัก เห็ด และวัตถุดิบทั้งหลายที่เราต้องเตรียมเพื่อขนไปยังแผงขายอาหารเล็ก ๆ …

Continue reading เทศกาลดนตรีครั้งแรกในประเทศอังกฤษ

โอโคโนมิยากิ พิซซ่าญี่ปุ่น

Abeno ร้านโอโคโนมิยากิกลางลอนดอน

ถ้าเราเดินข้ามฝั่งจากหน้า British Museum แล้วเดินต่อไปอีกหน่อยในถนนเส้นเล็ก ๆ เราจะเจอร้านอาหารที่ตกแต่งสะดุดตาจากร้านอื่นในบริเวณโดยรอบอยู่ร้านนึงที่มีป้ายรูปปลาคาร์ฟญี่ปุ่นและกันสาดสีฟ้าอยู่ข้างหน้า ทันทีที่เราก้าวเท้าข้ามประตูร้าน เสียงตะโกนต้อนรับเป็นภาษาญี่ปุ่นก็ดังขึ้นจากพนักงานทั้งร้าน ข้างในร้านเป็นห้องแถวแคบ ๆ ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นน้ำมันพืชและโอโคโนมิยากิ มีทางเดินตรงกลางร้านที่กว้างพอแค่ให้คนสองคนเดินสวนกันได้ ผนังร้านมีกลอนญี่ปุ่นกับภาพวาดจากภู่กันแขวนไว้เต็มไปหมดจนแทบมองไม่เห็นที่ว่างให้แขวนอะไรเพิ่ม ยกเว้นที่ว่างสุดด้านในร้านที่เว้นไว้ให้แอร์เก่า ๆ หนึ่งตัว ผนังข้างหนึ่งถูกทาเป็นสีฟ้าอ่อนมีโต๊ะแปดตัวที่เรียงยาวกันเป็นแถวติดผนัง ในขณะที่อีกฝั่งเป็นครัวเปิดสีขาวที่มีเชฟสาวชาวญี่ปุ่นยืนทำอาหารอยู่คนเดียวหลังบาร์และคอยส่งยิ้มกลับไปให้ลูกค้าที่เธอเผลอสบตาด้วยเป็นระยะ เมนูของร้านเต็มไปด้วยโอโคโนมิยากิหลากหลายไส้ที่ตั้งชื่อเมนูด้วยเมืองต่าง ๆ โอซาก้ากับวัตถุดิบคลาสสิคอย่างหมูสไลด์ ซัปโปโรที่ไส้ในเต็มไปด้วยอาหารทะเล หรือลอนดอนที่ใช้ชีสและเบคอนเป็นส่วนผสมหลัก โอโคโนมิยากิในร้านมีขนาดให้เลือกระหว่าง Deluxe กับ Super Deluxe ที่ราคาห่างกันแค่ £3 แล้วพอถามว่าขนาดต่างกันแค่ไหน พนักงานก็ทำมือเป็นวงกลมกะขนาดให้ดูบนโต๊ะก่อนจะแนะนำว่าถ้ากินเอาอิ่มคนเดียวสั่ง Super Deluxe ดีกว่า สุดท้ายเราก็เลยสั่งตามที่พนักงานแนะนำ ไม่นานหลังจากเรานั่งฟังเพลงญี่ปุ่นยุค 80 ที่เปิดคลอเบา ๆ กับเสียงพนักงานทั้งร้านที่พูดคุยกันเป็นภาษาญี่ปุ่น พนักงานเสิร์ฟคนเดิมก็เอาถ้วยที่เต็มไปด้วยส่วมผสมของโอโคโนมิยากิมาให้เราดูก่อนจะแนะนำส่วนผสมทีละอย่างให้ฟัง แล้วก็เริ่มราดน้ำมันลงบนกระทะร้อนกลางโต๊ะ เทส่วนผสมทุกอย่างลงไปปั้นเป็นแผ่นกลมที่เต็มไปด้วยอาหารทะเลจนแทบทะลักทั้งหมึก กุ้ง แซลมอน และหอยเชลล์ ก่อนจะหมั่นเดินกลับมาพลิกด้านอย่างระวังจนสุกดีก่อนจะโรยหน้าให้เราด้วยซอสโอโคโนมิยากิ มาโยเนส ผงสาหร่าย และปลาแห้ง รสชาติที่นี่ก็เหมือนที่เคยไปกินมาหลายร้านที่ญี่ปุ่น กะหล่ำหวานฉ่ำ กับไส้อาหารทะเลรสหวาน ตัดกับซอสที่มีรสเปลี้ยวนิดหน่ย …

Continue reading Abeno ร้านโอโคโนมิยากิกลางลอนดอน

Tabletop RPG 101: การใช้เพลงในเกม

การใช้เพลงประกอบเวลารันเกม Tabletop RPG มันทำอะไรได้หลากหลายมากเลยนะ นึกภาพถ้าคุณรันเกมแนวแฟนตาซี กลุ่มผู้เล่นทุกคนเดินเข้าไปในถ้ำแล้วเจอมังกรตัวใหญ่ คุณบรรยายมันออกมาน่ากลัวจนผู้เล่นแทบไม่คิดจะสู้ และกำลังจะวิ่งหนี ในวินาทีนั้นคุณก็กดเพลงนี้ขึ้นมา คุณว่าคนเล่นจะหนีหรือสู้ ? https://www.youtube.com/embed/iiJ3Ldxj76Y?controls=0 การใช้ดนตรีในเกมมันไม่ได้เป็นแค่การช่วยสร้างบรรยากาศในเกมให้มี Mood & Tone ในแบบที่เราต้องการอย่างเดียว แต่การเลือกดนตรีประกอบมันยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราสามารถ ชักนำ ผู้เล่นไปในทางที่เราต้องการได้อีกด้วย จากที่ผมลองมากับการรันเกมของตัวเองหลายครั้ง เสียงดนตรีประกอบ หรือแม้แต่แค่ Sound effect ลมต้นไม้ใบหญ้า ก็สามารถส่งผลชักจูงให้คนเล่นเปลี่ยนแนวคิดในซีนนั้นไปได้พอสมควรเลย ไม่ว่าผู้เล่นจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ส่วนใครที่สงสัยว่าเราจะใช้ดนตรีแบบไหนประกอบในเกมดี จากที่ผมลองมานะ คำตอบง่าย ๆ เลยนะ ใช้ไปเถอะ คุณจะใช้เพลงมีเนื้อร้อง ดนตรีบรรเลง เสียงประกอบ มันใช้ได้หมดล่ะ แล้วเสียงเพลงเนื้อร้องมันก็ไม่ได้รบกวนการรันเกมด้วยถ้าควบคุมน้ำหนักเสียงดังเบาให้ดี ถ้าคิดว่าเพลงที่เตรียมมามันดี เข้ากับฉาก เข้ากับซีน ชี้นำอารมณ์ได้ ลองเลย ไม่ต้องกลัวว่ามันจะรบกวนคนเล่นหรอก แต่ถ้าลองเสร็จหลังเกมจบก็อย่าลืมขอ Feedback จากคนเล่นกันด้วยนะ เพราะบางทีมันก็มีคนไม่ชอบดนตรีบางแบบจริง ๆ เราก็แค่ปรับกันไปกลุ่มที่เราเล่นด้วย แล้วเราจะใช้หลักการอะไรในการเลือกเพลงให้เหมาะกับเกมเราดี ? เสพเพลงเยอะ ๆ …

Continue reading Tabletop RPG 101: การใช้เพลงในเกม

How to produce good work จะสร้างงานที่ดียังไง

We never aim to produce good work. When we cannot produce good work, creating good work is not our goal, it is making ourselves able to produce good work. After we can produce good work, getting better is our goal, not creating good work. Becoming the best is unnecessary except when that is our final …

Continue reading How to produce good work จะสร้างงานที่ดียังไง

Tailor and Influencer

As a marketer, working with an influencer is pretty similar to a bespoke tailor. We are not just using someone trendy, famous, or having more followers. But we find someone that resonates with what we want to express to the outside world. It is not just working with them one time and going away, never …

Continue reading Tailor and Influencer

The Circus of Horrors

สิ่งหนึ่งที่ยังคงทำให้เราตื่นตาได้เสมอคงหนีไม่พ้นการแสดงสดต่อหน้าผู้ชม ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหน ละครเวทีในโรงละครขนาดใหญ่ ลิเกแถววัดใกล้บ้านสมัยยังเป็นเด็ก การแสดงแต่ละแบบก็ย่อมมีเรื่องให้เราใจเต้นได้ต่างกันไป ทั้งจากเพลงประกอบ การแสดง เรื่องราว แต่สิ่งหนึ่งที่ถึงแม้เราจะดูมันก็ครั้งก็ยังคงประทับใจกับมันทุกรอบ ก็คงหนีไม่พ้นคณะละครสัตว์และการแสดงในนั้น นักกายกรรมที่เหินไปบนอากาศราวกับเวทมนตร์ สิงห์นักบิดที่แสดงโชว์เสี่ยงตายต่อหน้าผู้ชมนับร้อย การแสดงโยนรับของที่ทำให้คนประสาทสัมผัสช้าอย่างเราตะลึงทุกครั้ง ดนตรีประกอบที่เร้าใจและจังหวะการแสดงที่สมบูรณ์แบบ ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์มากสำหรับเราในวัยเด็ก ไม่คิดเลยว่าเราจะมีโอกาสได้มาชมการแสดงแบบนี้อีกครั้งหลังจากผ่านมาเป็นสิบปี