เวลาหนึ่งทุ่มห้าสิบห้านาที ขบวนรถไฟจอดเทียบกับชานชาลาหมายเลขหนึ่งของสถานี Whitby เราลงจากรถไฟพร้อมกับกลุ่มวัยรุ่นอีกห้าคนที่เดินทางมาด้วยกันในขบวนรถไฟคันน้อยที่มีแค่สองตู้ ถึงจะยังเป็นแค่หัวค่ำแต่เมืองทั้งเมืองกลับเงียบสงัดจนเราได้ยินแค่เสียงฝีเท้ากับเสียงใบไม้ที่เสียสีกันเพราะลมพัดผ่าน ถนนเส้นเล็กจากสถานีตรงขึ้นไปถึงโรงแรมยังคงสว่างด้วยแสงไฟจากป้ายและหน้าต่างเป็นระยะรวมไปถึงไฟตกแต่งเตรียมต้อนรับวันฮาโลวีนที่กำลังจะมาถึง จากสถานีรถไฟไปประมาณสิบนาทีก็มาถึงที่พักของเรา ไฟสีส้มนวลตาจากชั้นล่างของโรงแรมที่ถูกเปิดเป็นผับยังคงส่องสว่างอยู่พร้อมกับเสียงพูดคุยของชาวเมืองที่แวะมานั่งกินดื่มพักผ่อนหลังเลิกงานดังลอดออกมาจนถึงกลางถนน บาร์เทนเดอร์หญิงสาวผมทองที่คอยรินเบียร์ให้กับลูกค้าในผับยิ้มต้อนรับเราทันทีที่เราเปิดประตูเข้ามาในร้านก่อนจะพาเราเดินขึ้นบันไดเมื่อเราบอกว่ามาเช็คอินโรงแรม ห้องนอนของเราเป็นห้องใต้หลังคาเล็ก ๆ บนชั้นสี่ที่ตอนนี้ถูกเปลี่ยนเป็นห้องพักสำหรับแขกชั่วคราวพร้อมกับห้องน้ำในตัว ในตอนเช้าเราเดินเล่นออกจากโรงแรมไปยังท่าเรือ ฝนที่กระหน่ำลงมาตลอดทั้งคืนและเพิ่งหยุดได้ไม่นาน ทำให้ตอนนี้แทบจะไม่มีชาวบ้านหรือนักท่องเที่ยวมาเดินเล่นในบริเวณนี้ ที่จะเห็นก็มีแค่เรือหาปลาที่กลับมาตั้งแต่เช้ามืดจอดเรียงรายอยู่พร้อมกับกรงและตาข่ายที่ยังเต็มไปด้วยกลิ่นคาวปลาจากเมื่อเช้า ถัดจากท่าเรือส่งปลาไม่ไกลสภาพบ้านเรื่อก็เริ่มเปลี่ยนไป ตัวอาคารติดถนนเรียงรายไปด้วยร้าน Fish & Chips จำนวนมากในขณะที่ทางฝั่งริมน้ำก็เต็มไปด้วยซุ้มขายอาหารต่าง ๆ เดินจากท่าเรือมาไม่ไกลก็จะถึงสะพานยกข้ามแม่น้ำ Esk ที่แบ่งเมืองนี้ออกเป็นสองฝั่ง สิ่งแรกที่เราสัมผัสได้เมื่อข้ามฝั่งมาคือกลิ่นของเทียนหอมจากร้านขายของน่ารักตกแต่งบ้านตามข้างทางที่โชยออกมาประชันกันบนถนน ตัวเมือง Whitby ในฝั่งตะวันออกคึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวที่แวะมากันไม่ขาดสายเพื่อเที่ยวชมเมืองเก่าและตลาดที่ถูกสร้างขึ้นย้อนไปตั้งแต่สมัยปี 1640 ยิ่งเราเดินไปตามถนนร้านขายของทั่วไปก็ค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยร้านเครื่องประดับที่ทำจากเจ็ท อัญมณีสีดำชื่อดังของเมือง เราเดินเล่นชมเมืองเก่า แวะเข้าร้านนู้นออกร้านนี้ ซื้อหนังสือ ขนม และของฝากได้ยังไม่ทันถึงบ่ายโมง ฝนตัวดีที่นึกว่าจะหยุดไปแล้วแต่เช้าก็เทกระหน่ำลงมาอีกจนคนเดินถนนต้องหาที่หลบกันจ้าละหวั่น เราวิ่งจากถนนเข้าไปยืนหลบหน้าร้านขายช็อกโกแลตเล็ก ๆ ที่ตกแต่งด้วยแผ่นป้ายทาสีแดงทองย้อนยุคและขนมรูปทรงน่ากลัวเข้ากับเดือนตุลาคมและเทศกาลสำคัญที่กำลังจะมาถึงในตอนสิ้นเดือน กลิ่นหอมจากด้านในร้านโชยออกมาสู้กับกลิ่นดินและฝนภายนอกจนเราต้องเดินตามมันเข้าไปในร้านแบบอดใจไว้ไม้ได้ "เธอยืนอยู่ในร้านกับกลิ่นหอม ๆ แบบนี้ทั้งวันได้ยังไงกัน" เราได้ยินคุณลุงคนหนึ่งกับภรรยาถามเจ้าของร้านพลางมองดูเตาด้านหลังที่กำลังเคี่ยวช็อกโกแลตสดใหม่อยู่ "ฉันอยู่กับมันทั้งวันจนไม่ได้กลิ่นอะไรแล้ว" เธอตอบคุณลุงคนนั้นก่อนจะจัดแจงหยิบขนมที่เขาสั่งใส่ถุงและคิดเงิน หลังจากที่คุณลุงคนนั้นเดินออกไป เราก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับเธอเล็กน้อยจนได้รู้ว่าร้านนี้เป็นร้านขนมของครอบครัวที่เปิดมาได้สามสิบปีแล้ว หลังฝนเริ่มซาลงเราก็เดินออกจากร้าน ฝั่งตรงข้ามของร้านขนมเป็นถนนโค้งขึ้นมาจากท่าเรือเก่าตามด้วยบันไดหิน 199 …






