Whitby: Dracula + Fish & Chips

เวลาหนึ่งทุ่มห้าสิบห้านาที ขบวนรถไฟจอดเทียบกับชานชาลาหมายเลขหนึ่งของสถานี Whitby เราลงจากรถไฟพร้อมกับกลุ่มวัยรุ่นอีกห้าคนที่เดินทางมาด้วยกันในขบวนรถไฟคันน้อยที่มีแค่สองตู้ ถึงจะยังเป็นแค่หัวค่ำแต่เมืองทั้งเมืองกลับเงียบสงัดจนเราได้ยินแค่เสียงฝีเท้ากับเสียงใบไม้ที่เสียสีกันเพราะลมพัดผ่าน ถนนเส้นเล็กจากสถานีตรงขึ้นไปถึงโรงแรมยังคงสว่างด้วยแสงไฟจากป้ายและหน้าต่างเป็นระยะรวมไปถึงไฟตกแต่งเตรียมต้อนรับวันฮาโลวีนที่กำลังจะมาถึง จากสถานีรถไฟไปประมาณสิบนาทีก็มาถึงที่พักของเรา ไฟสีส้มนวลตาจากชั้นล่างของโรงแรมที่ถูกเปิดเป็นผับยังคงส่องสว่างอยู่พร้อมกับเสียงพูดคุยของชาวเมืองที่แวะมานั่งกินดื่มพักผ่อนหลังเลิกงานดังลอดออกมาจนถึงกลางถนน บาร์เทนเดอร์หญิงสาวผมทองที่คอยรินเบียร์ให้กับลูกค้าในผับยิ้มต้อนรับเราทันทีที่เราเปิดประตูเข้ามาในร้านก่อนจะพาเราเดินขึ้นบันไดเมื่อเราบอกว่ามาเช็คอินโรงแรม ห้องนอนของเราเป็นห้องใต้หลังคาเล็ก ๆ บนชั้นสี่ที่ตอนนี้ถูกเปลี่ยนเป็นห้องพักสำหรับแขกชั่วคราวพร้อมกับห้องน้ำในตัว ในตอนเช้าเราเดินเล่นออกจากโรงแรมไปยังท่าเรือ ฝนที่กระหน่ำลงมาตลอดทั้งคืนและเพิ่งหยุดได้ไม่นาน ทำให้ตอนนี้แทบจะไม่มีชาวบ้านหรือนักท่องเที่ยวมาเดินเล่นในบริเวณนี้ ที่จะเห็นก็มีแค่เรือหาปลาที่กลับมาตั้งแต่เช้ามืดจอดเรียงรายอยู่พร้อมกับกรงและตาข่ายที่ยังเต็มไปด้วยกลิ่นคาวปลาจากเมื่อเช้า ถัดจากท่าเรือส่งปลาไม่ไกลสภาพบ้านเรื่อก็เริ่มเปลี่ยนไป ตัวอาคารติดถนนเรียงรายไปด้วยร้าน Fish & Chips จำนวนมากในขณะที่ทางฝั่งริมน้ำก็เต็มไปด้วยซุ้มขายอาหารต่าง ๆ เดินจากท่าเรือมาไม่ไกลก็จะถึงสะพานยกข้ามแม่น้ำ Esk ที่แบ่งเมืองนี้ออกเป็นสองฝั่ง สิ่งแรกที่เราสัมผัสได้เมื่อข้ามฝั่งมาคือกลิ่นของเทียนหอมจากร้านขายของน่ารักตกแต่งบ้านตามข้างทางที่โชยออกมาประชันกันบนถนน ตัวเมือง Whitby ในฝั่งตะวันออกคึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวที่แวะมากันไม่ขาดสายเพื่อเที่ยวชมเมืองเก่าและตลาดที่ถูกสร้างขึ้นย้อนไปตั้งแต่สมัยปี 1640 ยิ่งเราเดินไปตามถนนร้านขายของทั่วไปก็ค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยร้านเครื่องประดับที่ทำจากเจ็ท อัญมณีสีดำชื่อดังของเมือง เราเดินเล่นชมเมืองเก่า แวะเข้าร้านนู้นออกร้านนี้ ซื้อหนังสือ ขนม และของฝากได้ยังไม่ทันถึงบ่ายโมง ฝนตัวดีที่นึกว่าจะหยุดไปแล้วแต่เช้าก็เทกระหน่ำลงมาอีกจนคนเดินถนนต้องหาที่หลบกันจ้าละหวั่น เราวิ่งจากถนนเข้าไปยืนหลบหน้าร้านขายช็อกโกแลตเล็ก ๆ ที่ตกแต่งด้วยแผ่นป้ายทาสีแดงทองย้อนยุคและขนมรูปทรงน่ากลัวเข้ากับเดือนตุลาคมและเทศกาลสำคัญที่กำลังจะมาถึงในตอนสิ้นเดือน กลิ่นหอมจากด้านในร้านโชยออกมาสู้กับกลิ่นดินและฝนภายนอกจนเราต้องเดินตามมันเข้าไปในร้านแบบอดใจไว้ไม้ได้ "เธอยืนอยู่ในร้านกับกลิ่นหอม ๆ แบบนี้ทั้งวันได้ยังไงกัน" เราได้ยินคุณลุงคนหนึ่งกับภรรยาถามเจ้าของร้านพลางมองดูเตาด้านหลังที่กำลังเคี่ยวช็อกโกแลตสดใหม่อยู่ "ฉันอยู่กับมันทั้งวันจนไม่ได้กลิ่นอะไรแล้ว" เธอตอบคุณลุงคนนั้นก่อนจะจัดแจงหยิบขนมที่เขาสั่งใส่ถุงและคิดเงิน หลังจากที่คุณลุงคนนั้นเดินออกไป เราก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับเธอเล็กน้อยจนได้รู้ว่าร้านนี้เป็นร้านขนมของครอบครัวที่เปิดมาได้สามสิบปีแล้ว หลังฝนเริ่มซาลงเราก็เดินออกจากร้าน ฝั่งตรงข้ามของร้านขนมเป็นถนนโค้งขึ้นมาจากท่าเรือเก่าตามด้วยบันไดหิน 199 …

Continue reading Whitby: Dracula + Fish & Chips

Seven Sisters เดินเล่นรับลมข้างหน้าผาริมทะเล

“ขอโทษครับ คุณพูดภาษาอังกฤษได้ไหม” เราถูกทักโดยคุณลุงคนหนึ่งในเสื้อยืดกับหมวกแกสบี้หนังสีส้มผิดผมบนหัวที่เริ่มเปลี่ยนสี เราถอดหูฟังออกก่อนจะตอบเขาว่าเราพูดได้ “พอดีผมกำลังหาซื้อกระเป๋าเดินทางใหม่ กระเป๋าที่คุณใช้อยู่นี่ขนาดเท่าไหร่นะ” คุณลุงตรงหน้าถามเรา “50 ลิตรครับ เป็นกระเป๋ากล้องกับกระเป๋าเดินทางรวมกัน” เราเปิดกระเป๋าให้คุณลุงดูพร้อมกับแนะนำแบรนด์ของกระเป๋าและบอกเขาว่ามันทำอะไรได้บ้างเหมือนกับเราเป็นเซลส์ของกระเป๋ารุ่นนี้หลุดมานั่งรอดักขายของบนรถไฟ หลังจากได้นั่งพูดคุยกันเรื่องกระเป๋าเดินทางพวกเราก็เลยมีโอกาสได้รู้จักกันมากขึ้นจนรู้ว่าคุณลุงชื่อว่าแม็ก มาจากอิตาลี่และกำลังเดินทางไปหาลูกสาวที่ Lewes ระหว่างทางคุณลุงแม็กนั่งมองออกไปนอนหน้าต่างดูวิวข้างทางก่อนยิ้มออกมาเล็ก ๆ แล้วเริ่มเล่าเรื่องราวในสมัยหนุ่มกับการเดินเท้าผ่านเส้นทางแสวงบุญเป็นเวลาหนึ่งเดือนให้เราฟัง สีหน้าของลุงแม็กเต็มไปด้วยรอยยิ้มตลอดเวลาที่เขาเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นในฝรั่งเศสไปจนถึงอาสนวิหารแห่งเมืองซานเตียโกเดกอมโปสเตลาที่ประเทศสเปน ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางผ่านป่าเขาใต้แสงจันทร์ ลงเล่นน้ำดับร้อนกลางแม่น้ำระหว่างทาง ตกดึกแวะพักแรมกับคนแปลกหน้าพร้อมเบียร์เย็น ๆ สักแก้ว และประสบการณ์ที่มีกับเพื่อนร่วมทางมากมายที่เขาได้พบเจอ เรานั่งคุยกันเพลินจนลืมเวลาก่อนที่จะได้ยินเสียงขานเรียกของรถไฟว่ากำลังจะถึงเมืองเป้าหมายของเราทั้งคู่ พวกเราเลยหยิบกล้องขึ้นมาเพื่อเก็บภาพของอีกฝ่ายไว้เป็นความทรงจำก่อนจะแยกย้ายจากกันพร้อมกับอวยพรให้อีกฝ่ายได้พบเจอกับชีวิตที่ดีในอนาคต เวลา 11:20 ในที่สุดเราก็มาถึง Seaford เมืองเล็กติดริมทะเลที่เคยผ่านทั้งจุดรุ่งเรืองและตกต่ำก่อนจะกลับมาตั้งตัวได้อีกครั้งเมื่อทางรถไฟเชื่อมต่อมาถึงและผันตัวเองเป็นเมืองท่องเที่ยวริมทะเลที่ห่างจากลอนดอนไปแค่สองชั่วโมง หลังลงจากรถไฟเรารีบตรงดิ่งเข้าร้านสะดวกซื้อที่อยู่ติดกับสถานีเพื่อเตรียมข้าวกลางวันและอาหารที่เราจะเอาไปกินเติมพลังระหว่างทาง เพราะทริปนี้เราไม่ได้แค่มานั่งเล่นริมทะเลแต่เราจะเดินเท้าข้ามเมืองเป็นระยะทางกว่ายี่สิบกิโลเพื่อไปขึ้นรถไฟกลับที่ Eastbourne หลังเตรียมอาหารเสร็จเรียบร้อยเราก็เริ่มมุ่งหน้าไปยังริมหาดก่อนเดินเลาะริมขอบทะเลไปทางทิศตะวันตกทันที ไม่นานหลังจากนั้นเราก็เผชิญหน้ากับผาหินชอร์กขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านยืนสู้กับลมและน้ำทะเลที่คอยกัดเซาะมันจนกร่อนและพังทลายลงทุกปี หลังจากเราเดินขึ้นมาจนถึงยอดเนินของผาหินแรก เส้นทางในวันนี้ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเรา ทอดยาวออกไปสุดสายตาพร้อมกับเนินผามากมายและนักเดินทางคนอื่นที่เดินนำหน้าเราอยู่ไกล ๆ เราเดินผ่านเนินขึ้นลงสลับกันไป ซ้ายมือเป็นเนินเขาและทุ่งหญ้ายาวจรดเส้นขอบฟ้า ด้านขวามือเป็นทะเลสีฟ้าส่องประกายทอดยาวจนสุดสายตา มีแค่เสียงลม เสียงฝีเท้าและเสียงร้องของนกนางนวลที่ใช้ชีวิตอยู่ตามริมผาเป็นเพื่อนร่วมทางไปตลอดระยะเวลากว่า 6 ชั่วโมงตลอดการเดินจนในที่สุดเราก็มาถึง Eastbourne ที่ปลายทางก่อนจะรู้ว่ารถไฟเที่ยวที่เราจองไว้ถูกยกเลิกและเราต้องรีบไปขึ้นรถไฟเที่ยวสุดท้ายให้ทัน เราไปถึงสถานีตอนเหลือเวลาแค่ 5 นาทีก่อนที่รถไฟจะออก จนเราต้องออกแรกวิ่งสุดชีวิตเพื่อกระโดดขึ้นรถไฟให้ทันเวลาก่อนยืนหายใจหอบพร้อมกับมองประตูที่ค่อย …

Continue reading Seven Sisters เดินเล่นรับลมข้างหน้าผาริมทะเล

เทศกาลดนตรีครั้งแรกในประเทศอังกฤษ

“ตกรถไฟ” คือประสบการณ์แรกของเราที่ได้เจอในการไปงานเทศกาลดนตรีในอังกฤษ... ตั้งแต่ก่อนที่เราจะมาเรียนต่อที่อังกฤษเราก็ได้ยินคนพูดถึงเทศกาลดนตรีที่นี่มาตลอดจนเราเองก็ตั้งใจไว้ว่าก่อนกลับไทยจะต้องลองมางานเทศกาลที่นี่สักครั้งในชีวิตให้ได้ แต่ใครจะไปรู้ว่าแทนที่เราจะได้มาเที่ยว พักผ่อนฟังเพลง เรากลับต้องมาเปิดร้านผัดหมี่ขายอาหารจีนกลางงานเทศกาลแทน เรื่องทั้งหมดมันเริ่มจากการที่เรานั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศแล้วหัวหน้าเราก็ถาม “โป๋ ทำอาหารเป็นไหม” เราก็ตอบทันทีว่าเป็น แล้วรู้ตัวอีกทีสามวันต่อมาเราก็นั่งอยู่บนรถไฟเดินทางไปทำอาหารในงานเทศกาลแล้ว การเดินทางครั้งแรกของเราเป็นรถไฟเที่ยวดึกเพื่อตามทีมชุดแรกที่ขับรถขนของไป แต่เราไม่ได้เดินทางคนเดียวเพราะเราต้องสาวเสิร์ฟสองคนไปกับเราด้วยเพราะคนหนึ่งยังอายุน้อยแถมยังไม่กล้าและไม่เคยเดินทางคนเดียวตอนกลางคืนมาก่อนส่วนอีกคนก็ติดธุระจนเดินทางไปพร้อมกับรถขนของไม่ได้ แล้วน้องผู้ไม่เคยเดินทางมาก่อนก็ดันเข้าใจว่าเวลาบนตั๋วรถไฟไม่ใช่เวลารถไฟออก แต่คือเวลาที่ต้องมาถึงสถานี ซึ่งก็ทำให้เราที่ยืนรออยู่ตกรถไฟตามระเบียบ จะให้จ่ายค่ารถไฟใหม่เราก็ไม่อยากทำเพราะขี้เกียจคุยกับที่บริษัทแล้วอธิบายเหตุผล แถมอาจจะทำให้น้องคนนั้นโดนตำหนิหรือไม่เราก็ต้องรับผิดชอบทุกอย่างเองแทนด้วย ตัวดีที่พาตกรถไฟกันหมด สุดท้ายทางเลือกที่เราทำก็คือ กระโดดขึ้นรถไฟคันอื่นสองต่อเพื่อเดินทางไปที่หมายให้ทันเวลาแทนแล้วก็หวังว่าคนตรวจตั๋วจะไม่มาจับเราว่าตั๋วที่มีไม่ใช่ของรถไฟขบวนนี้ สุดท้ายเราก็มาลงที่เมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้กับจุดหมายไปไม่ไกล แต่เวลาตอนนั้นก็เลยเที่ยงคืนมาแล้ว ไม่มีรถบัสวิ่งผ่านระหว่างเมือง เบอร์โทรของแท็กซี่ท้องถิ่นทุกเบอร์ก็บอกเป็นเสียงเดียวกันตอนเราโทรหาว่ามันดึกเกินไปแล้ว และในขณะที่เรากำลังวางแผนกันว่าจะเดินไปซึ่งน่าจะกินเวลาราวชั่วโมงกว่าก็มีรถเก่า ๆ สีขาวคันหนึ่งขับผ่านมา พวกเราหยุดมองหน้ากันพักหนึ่งก่อนที่จะเริ่มวิ่งตามรถคั้นนั้น พยายามตะโกนและโบกเรียกสุดเสียงให้เขาจอด แล้วมันก็สำเร็จ ลุงคนขับจอดรถลงถามว่าพวกเรากำลังจะไปที่ไหน ก่อนที่จะขับรถพาเราไปส่งจนถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัยถึงจะช้ากว่าเวลาที่วางแผนไว้ไปนิดหน่อย สองสาวนั่งรอเราหาทางเรียกรถแท็กซี่ ห้องพักที่เราได้จากผู้จัดงานเป็นห้องชั้นล่างของโรงแรมข้างทางเล็ก ๆ ที่มีสองชั้นเหมือนโรงแรมติดปั๊มน้ำมันข้างทางหลวงที่เราสามารถเห็นได้ในหนังฝรั่ง มีสองห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น แล้วก็ครัว พวกเราใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงหลังจากไปถึงแปรสภาพที่พักนั้นทั้งหมดให้กลายเป็นโกดังเก็บอาหารแห้งและตู้แช่วัตถุดิบสำหรับตลอดช่วงงานเทศกาล ตู้และชั้นวางของถูกดันไปอีกทางเพื่อหลบให้กับตู้เย็นและตู้แช่แข็ง โซฟาและพื้นห้องเกือบทั้งหมดถูกทับถมไปด้วยอาหารแห้งอย่างเส้นหมี่ แป้งขนมปังกรอบ ซอส และวัตถุดิบเครื่องปรุงรสจนแทบไม่มีที่ให้เดิน พื้นของห้องนอนทั้งสองห้องถูกใช้เป็นที่เก็บเครื่องครัวและข้าวของที่เหลือจนเราแทบต้องกระโดดลงเตียงเพราะไม่เหลือที่ให้เดินแล้ว ทุกเช้าเราต้องคอยมาสับสวิตช์เพื่อเลือกว่าจะให้น้ำไหลไปที่ไหนระหว่างห้องครัวกับห้องน้ำเพราะระบบท่อที่นี่ไม่สามารถส่งน้ำไปทั้งสองห้องพร้อมกันได้ ห้องครัวในตอนเช้าถูกใช้ไปกับการหั่นผัก เห็ด และวัตถุดิบทั้งหลายที่เราต้องเตรียมเพื่อขนไปยังแผงขายอาหารเล็ก ๆ …

Continue reading เทศกาลดนตรีครั้งแรกในประเทศอังกฤษ

The Circus of Horrors

สิ่งหนึ่งที่ยังคงทำให้เราตื่นตาได้เสมอคงหนีไม่พ้นการแสดงสดต่อหน้าผู้ชม ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหน ละครเวทีในโรงละครขนาดใหญ่ ลิเกแถววัดใกล้บ้านสมัยยังเป็นเด็ก การแสดงแต่ละแบบก็ย่อมมีเรื่องให้เราใจเต้นได้ต่างกันไป ทั้งจากเพลงประกอบ การแสดง เรื่องราว แต่สิ่งหนึ่งที่ถึงแม้เราจะดูมันก็ครั้งก็ยังคงประทับใจกับมันทุกรอบ ก็คงหนีไม่พ้นคณะละครสัตว์และการแสดงในนั้น นักกายกรรมที่เหินไปบนอากาศราวกับเวทมนตร์ สิงห์นักบิดที่แสดงโชว์เสี่ยงตายต่อหน้าผู้ชมนับร้อย การแสดงโยนรับของที่ทำให้คนประสาทสัมผัสช้าอย่างเราตะลึงทุกครั้ง ดนตรีประกอบที่เร้าใจและจังหวะการแสดงที่สมบูรณ์แบบ ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์มากสำหรับเราในวัยเด็ก ไม่คิดเลยว่าเราจะมีโอกาสได้มาชมการแสดงแบบนี้อีกครั้งหลังจากผ่านมาเป็นสิบปี

น้ําตกจ๊อกกระดิ่นเดือนกรกฎาคม

Extrovert ที่เที่ยวคนเดียว

ปีสองปีมานี้ไปเที่ยวกับคนอื่นตลอดเลย พอได้กลับมาลองเที่ยวคนเดียวก็พบว่า ไปเที่ยวคนเดียวยังไงก็ดีกว่าจริง ๆ ด้วย ไปกับเพื่อน ก็ได้เฮฮาแค่กับกลุ่มเพื่อน ไปกับครอบครัว ก็ได้แค่ใช้เวลาร่วมกับครอบครัว ไปคนเดียวทริปนี้ เราได้ขึ้นกระบะนั่งคุยกับตชด. ได้หลบฝนปิ้งไก่กับฝรั่งสี่ห้าคน ได้ห้อยรถถ่ายรูปกับนักท่องเที่ยวคราวแม่สามคน ได้นั่งดื่มเล่นกับชาวบ้าน ได้นั่งคุยเล่นกับแม่ค้าข้างทาง ได้ไปนั่งเย็บหมอนกับโฮมสเตย์ที่ไปพัก เราไม่ได้ชอบอยู่คนเดียว แต่ที่เราชอบเที่ยวคนเดียวเพราะว่าเราคือ Extrovert ที่รู้สึกเหี่ยวเฉาและต้องการการเข้าสังคมมากกว่าแค่กลุ่มเดียวตลอดทริป เพราะแค่คนกลุ่มเดียวมันไม่พอ..

บ่อน้ำบ้านอีต่องในหมอกตอนฝนตก

บ้านอีต่อง เหมืองปิล็อก หมอก ป่า และภูเขา

เนื่องจากช่วงปีที่ผ่านมาไม่ได้ว่างไปเที่ยวที่ไหนเลย ใน Blog นี้ก็เลยเต็มไปด้วยเรื่องราวอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด แต่ในที่สุดวันนี้เราก็ได้เริ่มกลับไปลุยเที่ยวกันอีกแล้ว และครั้งนี้เป้าหมายของเราก็คือ บ้านอีต่อง – เหมืองปิล็อก นั่นเอง ที่มาของทริปนี้ต้องบอกเลยว่ามาจากความใจง่ายล้วน ๆ คือในระหว่างที่กำลังนั่งทำงานอยู่เราดันได้ยินพี่ ๆ ในออฟฟิศที่นั่งอยู่ข้างหลังพูดว่า “ช่วงนี้ปิล็อกสวย” ไอ้เราก็สงสัย อะไรคือ [ปิล็อก] วะ ก็เลยลองเข้า Google ไปค้นดู… รู้ตัวอีกทีเย็นนั้นก็จองที่พักไปแล้ว สัปดาห์ต่อมาก็เดินทางเลย บอกแล้วว่ามาจากความใจง่ายล้วน ๆ เราเริ่มออกเดินทางจากบ้านในกรุงเทพฯตั้งแต่ตีห้า ไปถึงบขส. หมอชิตที่ยังคงเงียบและวังเวงอยู่พอสมควรก่อนจะซื้อตั๋วรถเพื่อเดินทางต่อไปยังกาญจนบุรี แล้วพอรู้ตัวอีกทีเราก็มานั่งมึนรอรถอยู่ที่กาญแล้ว หลังจากที่นั่งรอได้ไม่นานยังไม่ทันได้ตั้งสติดี ลุงคนขับรถที่น่าจะมีประสบการณ์ขับรถไปกลับเส้นทางนี้มามากกว่าอายุเราก็กระโดดขึ้นมา ติดเครื่อง แล้วก็ออกรถไปทันที รถเมล์เก่าส่งเสียงเครื่องดังเหมือนจรวดที่กำลังถูกปล่อยตัวทุกครั้งที่ต้องขึ้นเนินแบบเอื่อย ๆ แถมลุงคนขับก็ตะโกนบอกผู้โดยสารทุกคนที่ขึ้นลงตลอดว่า “เร็วครับ รถทำเวลาครับ” แน่สิ มันก็ต้องรีบทำเวลาล่ะนะ เพราะแค่แรงขับขึ้นเนินของรถยังแทบจะไม่มีเลย หลังจากนั่งรถไปเกือบสามชั่วโมงด้วยความช้าเหมือนเต่าคลาน สุดท้ายเราก็มาถึงตัวเมืองอําเภอทองผาภูมิ และเจอรถสองแถวสีเหลืองที่เต็มไปด้วยชาวบ้านท้องที่ กำลังติดเครื่องขับขึ้นอีต่อง ด้วยความรีบร้อนขี้เกียจรอรถใหม่ เราก็เลยกระโดดขึ้นรถคันข้างหน้าไปเลย ที่เหลือค่อยว่ากัน แล้วสิ่งดีงามสุด ๆ ก็เกิดขึ้นกลางทาง พอนั่งรถไปได้ชั่วโมงกว่าฝนก็ตกจ้า ตกหนักสลับตกเบาสลับตกหนักวนไปตลอดจนขึ้นไปถึงบ้านอีต่องข้างบนในที่สุด […]

เรือสีน้ำเงินริมหาด อินโดนีเซีย เกาะกิลี Gili Indonesia

อินโดนีเซียกับการฝ่าพายุ โดนจับ และเกือบจมน้ำตาย

ช่วงนี้เราอยู่แต่ที่บ้าน งานก็ทำที่บ้าน ไม่ได้ออกไปไหนเลย พอมานั่งคุ้ยรูปเก่า ๆ ก็ทำให้คิดถึงประสบการณ์ที่ไปเจอมาในแต่ละที่ แล้วเราก็ไปเจอรูปจากทริปอินโดนีเซียเข้า ก็เลยนึกอะไรหลาย ๆ อย่างขึ้นมาได้ กับประสบการณ์ที่เจอมา ความทรงจำที่จำยันวันตายของการไปอินโดนีเซีย เราว่ายน้ำตามเต่า แล้วโดนน้ำพัดลอยออกนอกเกาะไปไกลถึงจุดที่คนเขาขึ้นเรือไปดำน้ำกัน หลังจากนั้นไม่รู้ว่าเราคิดอะไรอยู่ เราเลยเลือกที่จะค่อย ๆ ว่ายน้ำกลับเข้าหาฝั่งจนสุดท้ายเราก็กลับมาได้ สภาพของเราตอนนั้นคือแทบยืนไม่อยู่ ปวดหัว เหนื่อย หอบ เอาจริง ๆ ก็แทบจะวูบไปกลางน้ำแล้วรอบนึงด้วยซ้ำ หลังจากนั้นวันนั้นก็นอนหลับเป็นตายไปเลยทั้งคืน แผนอะไรที่คิดไว้สลายหายไปหมดกับไอ้เต่าตัวนั้น อย่างน้อยก็ยังดีที่ไม่ได้ตามมันไปถึงปราสาทมังกรล่ะนะ เราได้ลองกินดอกกะหล่ำต้มและบดโดยไม่ผ่านการปรุงรส ปริมาณหนึ่งชามถ้วน รสชาติที่จำยันวันตาย ความจืด เหม็นผัก และไร้รสชาตินั่น เราโดนจับเป็นครั้งแรกในต่างประเทศ ตอนนั้นเราเดินเล่นไปเรื่อย ๆ จนเจอกับประภาคารสูง เราเล็งเอาไว้แล้วว่าเย็นนี้แหละ เราจะชมพระอาทิตย์ตกจากยอดประภาคารนี้ พอตกเย็นเราก็ซื้อเบียร์ เตรียมของให้พร้อม ดูลาดเลา พอยามไม่เห็นเราก็ปีนข้ามรั้วเหล็กที่สูงท่วมหัวเข้าไปด้านใน ปลดล็อคประตูที่ล็อคไว้ด้วยทักษะเล็ก ๆ ที่เราเก็บมาจากสมัยมัธยม จากนั้นเราก็เริ่มปีน ปีน ปีนไปได้เกือบครึ่งทางก่อนที่เราจะได้ยินเสียงตะโกนดังมาจากด้านล่าง พอมองลงไปสิ่งที่เห็นก็คือเจ้าหน้าที่ผิวเข้ามล่ำบึกจำนวนสามหรือสี่คนนี่ล่ะ กำลังตะโกนไล่ให้เราลงมา สุดท้ายเราก็ต้องยอมปีนลงมา แล้วก็ต้องเคลียกับเขาอยู่พักใหญ่จนพลาดพระอาทิตย์ตกของวันนั้นไปเลย อย่างน้อยก็ยังดีที่ไม่มีเรื่องอะไรมากหลังจากนั้น …

Continue reading อินโดนีเซียกับการฝ่าพายุ โดนจับ และเกือบจมน้ำตาย

Osaka Big city in Kansai

<Thai> - <English> Finally, after Singapore, I arrived at my destination Osaka. And this is the trip report of my five days in Osaka. Warning, This is a trip without any planning. Day 1 I had to transit the plane at Taipei before I arrive at Osaka, and what is the fun part of this …

Continue reading Osaka Big city in Kansai

Osaka กิน เดิน เที่ยว กับเมืองใหญ่แห่งคันไซ

<Thai> - <English> Osaka ในที่สุดก็ได้มาเที่ยวเมืองนี้แบบจริงจังหลังจากตุลาคมที่แล้วต้องพลาดไปเพราะ Super Typhoon Lan ผ่านมาเยี่ยมจนต้องไปนอนเซ็งอยู่ในสนามบิน ในครั้งนี้ เรามาดูกับดีกว่าว่า การเที่ยวแบบ "เดินสบายตามใจฉัน" ของผมมันจะพาไปพบกับอะไรบ้างในเมืองใหญ่ที่ชื่อว่า Osaka แห่งนี้ Day 1 ในวันแรกเลยก่อนจะมาถึง Osaka ผมต้องนั่งเครื่องจาก Singapore ไปลงต่อที่ Taipei ก่อนจะวนเข้าไปในสนามบิน แล้วเดินเป็นวงกลมกลับเข้า Gate แล้วมาต่อเครื่องอีกครั้งเพื่อ... ขึ้นเครื่องเดิม, พนักงานก็ชุดเดิม, นั่งที่เดิมอีก, แถมขยะที่หล่นบนพื้นที่เห็นตั้งแต่ตอนออกจากเครื่องก็ยังอยู่ที่เดิม...แหม่ถ้าจะเหมือนเดิมซะขนาดนี้ จะให้นอนพักยาวบนเครื่องเลยก็ไม่ได้นะ The Moment 01: Custom หลังจากลงมาถึง Osaka แล้วก็จัดแจงเดินดุ่ม ๆ ผ่านเข้าประเทศเขาพร้อมกับแววตาอันมุ่งมั่นในทันที แต่เดี๋ยวก่อน เราโดน Custom สั่งหยุด อะอ่าว หลังจากนั้นก็...เทกระเป๋าเลยจ้า เทเข้าไป เอาแล้ว ๆ จากนั้นก็โดนถามรัว ๆ เป็นชุดเลย คุณเอาของมาแค่นี้จริง ๆ นะ …

Continue reading Osaka กิน เดิน เที่ยว กับเมืองใหญ่แห่งคันไซ

Singapore: One Day and One Night

<Thai> --- <English> I just back from my trip to Osaka, and now my finger just feels itchy to write and tell all of you the story. Day 1 Singapore My home is just 30 mins away to Don Mueang Airport (Yes I lived in Thailand), so when you live that close to the airport, you'll …

Continue reading Singapore: One Day and One Night