Tabletop RPG 101 จะเป็นชุดบทความสั้น ๆ ความที่ผมเขียนแนะนำเกี่ยวกับ Tabletop RPG ทั้งการรันเกม การเล่นเกม ในมุมมองของผม แต่สำหรับใครที่คาดหวังจะได้วิธี เทคนิค หรือสูตรสำเร็จแบบ 1 2 3 4 จงทำตามซะแล้วจะรันเกมเก่งเล่นเกมดี ข้ามมันไปได้เลยครับ เพราะผมไม่ยัดอะไรพวกนั้นเข้ามาในนี้แน่นอน ในบทความชุดนี้ผมจะเขียนแนวคิดกับมุมมองของผมที่มีต่อการเล่นและรัน TRPG ว่าจริง ๆ แล้วผมคิดว่า "แก่น" หรือจุดที่เราต้องสนใจหลักของมันคืออะไร ส่วนเรื่องเทคนิครันเกมเล่นเกมอะไรพวกนั้น ผมมองว่ามันเป็นของที่ใครอยากฝึกมันก็ทำกันได้ทั้งนั้นล่ะ แต่ถ้าเรามองเห็นภาพใหญ่ก่อน มันก็จะช่วยให้เราเลือกฝึกจุดแข็งจุดอ่อนได้ถูกจุดมากขึ้นได้ แต่ผมจะใส่แนวคิดที่ผมมองว่า มันคือ "แก่น" จริง ๆ ของการเล่นเกม TRPG ที่จะสามารถเอาไปต่อยอดได้ในอนาคตด้วยตัวเองกัน มาเข้าเนื้อหากันกับบทความแรกของเรากันเลย "หน้าที่ของ GM คืออะไร" หน้าที่ของ GM ในที่นี้ผมไม่ได้หมายถึงการควบคุม NPC การทำนู่นนี่ระหว่างเกม แต่เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ ที่ GM ควรจะมองตัวเองว่าอยู่ในบทบาทไหน ก่อนอื่นผมจะขอแบ่งสไตล์ GM …
Category: Thai
How to produce good work จะสร้างงานที่ดียังไง
We never aim to produce good work. When we cannot produce good work, creating good work is not our goal, it is making ourselves able to produce good work. After we can produce good work, getting better is our goal, not creating good work. Becoming the best is unnecessary except when that is our final …
Continue reading How to produce good work จะสร้างงานที่ดียังไง
อะไรคือ Vampire the Requiem (เกมแวมไพร์ที่ไม่ใช่ Vampire the Masquerade)
ชื่อเกม Vampire the Masquerade น่าจะเป็นอะไรที่ผ่านตาทุกคนกันมาเยอะมากเลยในช่วงนี้ โดยเฉพาะเกมคอมชื่อดังอย่าง Vampire the Masquerade Bloodline (ที่ภาค 2 ก็ไม่รู้จะเสร็จตอนไหน) แต่ที่จริงแล้วเกม Vampire the Masquerade มีจุดเริ่มต้นมาจากเกม Tabletop Role-playing Game ตั้งแต่ปี 1991 และด้วยชื่อเสียงของมัน คนส่วนใหญ่ก็เลยชอบลืมกันไปว่า Masquerade ยังมีเกมน้องชายอยู่อีกเกมหนึ่งที่ชื่อว่า Vampire the Requiem แล้วผมดันชอบมันมากกว่า Masquerade ซะด้วย วันนี้เลยอยากจะเอาเกมนี้มาแชร์ มาชวนกันหน่อย เผื่อใครที่เคยเล่นหรือผ่านตา Masquerade มาแล้วจะได้ลองมาทำความรู้จักกับเกมแวมไพร์อีกเกมกันบ้าง ในโลกของ Vampire the Requiem ผู้เล่นจะได้สวมบทบาทเป็น Kindred หรือที่เราเรียกคุ้นเคยกันว่าแวมไพร์ แวมไพร์ในเกมนี้นั้นใช้ชีวิตแฝงตัวอยู่ในสังคมมนุษย์ปรกติมาตลอดหลายพันปี เป็นนักล่าที่อยู่ในจุดบนสุดของห่วงโซ่อาหาร หลบซ่อนอยู่ในมุมมืด คอยชักใยผู้มีอิทธิพลต่าง ๆ อยู่เบื้องหลัง กุมอำนาจไว้มากมายในกำมือไม่ต่างกับลาสบอสในเกมกับหนัง ลักษณะแวมไพร์ในเกมนี้ถ้าใครนึกภาพไม่ออกก็เอาแวมไพร์ของ Anne Rice …
Continue reading อะไรคือ Vampire the Requiem (เกมแวมไพร์ที่ไม่ใช่ Vampire the Masquerade)
Tabletop RPG 101: เล่น Tabletop RPG ทอยเต๋าตอนไหนดี ?
ภาพปกจาก Coco Zinva - Pixabay เมื่อไม่นานมานี้ผมได้นั่งคุยกับเพื่อนคนหนึ่งเรื่องทอยเต๋า ก็เลยอยากแวะมาเขียนอะไรหน่อยเกี่ยวกับเรื่องนี้ การทอยลูกเต๋านี่จะเรียกว่าเป็นเรื่องพื้นฐานของ TRPG ก็ได้ แต่พอเอาเข้าจริง GM หลายคนกลับไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญกับมันสักเท่าไหร่ แถมพอมาตั้งใจดูจริงจัง GM แต่ละคนก็ยังมีสไตล์การเรียกทอยเต๋าที่ต่างกันไปอีก ถ้าใครได้มีโอกาสลองเล่นเกมกับ GM หลายคนก็จะพอเห็นภาพ ว่าถ้าจับการทอยเต๋ามากางเป็นเส้นตรง ปลายสุดทางสองข้างก็คงเป็นฝั่งหนึ่งมี GM ที่เรียกให้ผู้เล่นทอยเต๋ากับทุกอย่าง ตั้งแต่หาของบนโต๊ะ นึกข้อมูลที่จำได้ ไปจนถึงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แทบทุกอย่างที่นึกได้ อีกด้านตรงข้ามก็คือ GM ที่แทบไม่เรียกทอยเต๋าเลยเว้นแต่จะเข้าฉากต่อสู้จนผู้เล่นไม่รู้อัพสกิลมาทำไม ซึ่ง GM ส่วนใหญ่ก็จะมีสไตล์การเรียกทอยอยู่สักจุดระหว่างสองฝั่งนี้นั่นล่ะ (ในที่นี้เราจะไม่พูดถึงการ ทอยตามหนังสือหรือทอยตามใจ GM นะ อันนั้นน่าจะเก็บเป็นอีกหัวข้อได้เลย) แล้วจากที่ผมได้คุยหรือเล่นด้วยมา GM ส่วนใหญ่ก็จะอยู่ที่ฝั่งเรียกทอยบ่อยกันมากกว่าทอยน้อย ซึ่งส่วนตัวผมเองไม่ค่อยชอบสไตล์การทอยแบบนี้เท่าไหร่ โดยเฉพาะการทอยในสถานการณ์ที่เมื่อทอยพลาดแล้วจะไม่ส่งผลกระทบอะไรกับเกมในการดันให้เรื่องราวมันน่าสนใจขึ้น แต่เป็นการทอยแค่เพื่อให้รู้ว่าทำได้หรือไม่ได้เฉย ๆ วันนี้ก็เลยมานั่งเขียน บอกเล่าปนบ่นให้ทุกคนอ่านกับหลักการทอยเต๋าส่วนตัวของผมที่มีอยู่ง่าย ๆ ประมาณ 4 ข้อกัน เผื่อใครอ่านแล้วชอบใจก็เอาไปใช้ …
Continue reading Tabletop RPG 101: เล่น Tabletop RPG ทอยเต๋าตอนไหนดี ?
The Circus of Horrors
สิ่งหนึ่งที่ยังคงทำให้เราตื่นตาได้เสมอคงหนีไม่พ้นการแสดงสดต่อหน้าผู้ชม ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหน ละครเวทีในโรงละครขนาดใหญ่ ลิเกแถววัดใกล้บ้านสมัยยังเป็นเด็ก การแสดงแต่ละแบบก็ย่อมมีเรื่องให้เราใจเต้นได้ต่างกันไป ทั้งจากเพลงประกอบ การแสดง เรื่องราว แต่สิ่งหนึ่งที่ถึงแม้เราจะดูมันก็ครั้งก็ยังคงประทับใจกับมันทุกรอบ ก็คงหนีไม่พ้นคณะละครสัตว์และการแสดงในนั้น นักกายกรรมที่เหินไปบนอากาศราวกับเวทมนตร์ สิงห์นักบิดที่แสดงโชว์เสี่ยงตายต่อหน้าผู้ชมนับร้อย การแสดงโยนรับของที่ทำให้คนประสาทสัมผัสช้าอย่างเราตะลึงทุกครั้ง ดนตรีประกอบที่เร้าใจและจังหวะการแสดงที่สมบูรณ์แบบ ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์มากสำหรับเราในวัยเด็ก ไม่คิดเลยว่าเราจะมีโอกาสได้มาชมการแสดงแบบนี้อีกครั้งหลังจากผ่านมาเป็นสิบปี
Snapshot
เราเป็นคนชอบภาพ Snapshot มาก รูปถ่ายเกิน 90% ของเราเป็นรูปที่เราสแน็ปเร็ว ๆ โดยแค่หยิบกล้องขึ้นมาแล้วก็กดยิงเลย (นั่นคือเหตุผลที่เราหันมาติด Compact แทนกล้องตัวใหญ่) บางทีรูปมันก็มัวบ้าง ไม่ชัดบ้าง แต่ถึงแบบนั้นเราก็ยังชอบมันอยู่ดี พูดตามตรงก็คงไม่มีข้ออ้างอะไรนอกจากเราเป็นคนถ่ายรูปที่ขี้เกียจ เราขี้เกียจจัดองค์ประกอบภาพ เราขี้เกียจเล็งภาพให้ดี สิ่งที่เราทำก็แค่ยกกล้องขึ้นมา แล้วบันทึกโลกในแบบที่เราเห็นลงไป ว่าวันนี้ เวลานี้ ในที่แห่งหนึ่ง มีคนสองคนนั่งดูพระอาทิตย์ตกดินด้วยกัน เราไม่รู้หรอกว่าคนในภาพจะจำเหตุการณ์ในวันนี้แบบไหน เรื่องจริงที่เกิดขึ้นระหว่างเขาสองคนคืออะไร หรือผ่านไปอีกสิบปีเขาจะยังจำวันนี้ได้ไหม แต่สำหรับเราวินาทีนี้มันจะอยู่กับเราไปตลอด อยู่บนกระดาษที่ถูกพิมพ์ภาพถ่ายนี้ลงไป แล้วมันจะไม่หายไปไหนจนกว่าภาพถ่ายนั้นจะถูกทำลายซึ่งอาจใช้เวลาหลายสิบหรือเป็นร้อยปี บางคนฟังดูมันอาจจะน่าเกลีด แต่เรามองว่าการได้ถ่ายรูปสำหรับเรามันคือ Privilege อย่างหนึ่ง มันเป็น Privilege ที่เราได้บันทึกเสี้ยวหนึ่งของชีวิตใครสักคนลงไปในภาพถ่ายของเราและเก็บเอาไว้ตลอดไป ไม่ว่าคนที่อยู่ในภาพจะลืมเรื่องในวันนั้นไปแล้วหรือยัง
The Pasta Apartment ร้านอาหารที่เป็นให้เรามากกว่านั้น
The Pasta Apartment เป็นร้านอาหารที่มีขนาดแค่หนึ่งห้องอะพาร์ตเมนต์ ตั้งอยู่ที่ชั้นหกในคอนโดแห่งหนึ่งหลังโลตัส ประชาชื่น ไม่ได้มีป้ายหน้าร้านอะไรติดอยู่ด้านล่างของตัวอาคาร ไม่ได้มีป้ายห้อยออกมาบอกจากบนระเบียง ถ้าไม่มี Facebook Page ของร้านและรูปที่อยู่ในนั้น เราก็คงจะไม่มีทางหาร้านเจอได้เลยจนกว่าจะโทรถามกับร้านว่าต้องเดินเข้าไปทางไหน ด้านในร้านเป็นห้องพักที่ถูกตกแต่งใหม่กลายเป็นร้านอาหารโดยฝีมือฟิลิปโป้ เชฟของร้านที่รับหน้าที่ทำอาหารให้เรากินตลอดทั้งคืนรวมถึงคอยแวะออกมาพูดคุยกับพวกเราเป็นระยะ ฟิลิปโป้บอกเราว่าเฟอร์นิเจอร์แทบทั้งหมดที่เห็นเป็นของที่เขาทำขึ้นเองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นชั้นวางของตามผนัง หรือโซฟาที่เราใช้นั่งพักข้างโต๊ะอาหาร ถ้าให้พูดกันตามตรง หนึ่งในสิ่งที่เป็นจุดเด่นของร้านนี้นอกจากอาหารอิตาเลียนรสชาติเยี่ยมแล้ว ก็คงหนีไม่พ้นการตกแต่งและบรรยากาศที่เป็นกันเองอย่างน่าเหลือเชื่อในร้าน ที่ให้ความรู้สึกไม่ต่างกับการไปกินข้าวที่บ้านของเพื่อนสนิท มากเสียจนทำให้เพื่อนเราคนหนึ่งลงไปนอนพักหลับบนโซฟาระหว่างรออาหารได้เหมือนกับอยู่บ้านของตัวเองเลย ขนมปังกระเทียมที่มาเป็นของรองท้องก่อนเป็นจานแรกและหมดไปอย่างรวดเร็ว ซุปปลาที่ฟิลิปโป้บอกกับพวกเราว่าความจริงชื่อของมันคือ Guazzetto ไม่ใช่ Soup เพียงแต่มันไม่มีคำแปลตรงตัวในภาษาอื่น ถ้าจะให้เปรียบเทียบก็คงคล้ายซุปที่มีน้ำน้อยคล้ายกับแอ่งน้ำที่เราพบเห็นได้ตามข้างทางเวลาฝนตก เป็นเรื่องบังเอิญที่ในวันนั้นฝนเกิดตกลงมาพอดี ถ้าจะเปรียบกับอะไรก็คงจะเป็นถนนกรุงเทพตอนฝนตกละมัง หรือถ้าเรียกให้คุ้นปากคนไทยหน่อยก็คงต้องเรียกมันว่าซุปขลุกขลิกคงใกล้เคียงที่สุดแล้ว บรรยากาศที่เป็นกันเองภายในร้านขนาดเล็กที่มีแค่ห้องครัว ห้องทานข้าว ห้องน้ำ และฟิลิปโป้ที่เดินออกมาพูดคุยกับเราเป็นระยะไม่ต่างอะไรกับการไปกินข้าวกับเพื่อน นอกจากบรรยากาศของร้านแล้ว สิ่งที่เราลืมพูดถึงไม่ได้ก็คงเป็นอาหารในร้าน ที่ต้องขอยอมรับว่าเป็นอาหารอิตาเลียนในรสชาติที่หาไม่ค่อยได้ในเมืองไทย หรืออย่างน้อยก็ในกรุงเทพ มันไม่ได้มีรสชาติเหมือนอาหารในร้านหรูหราชื่อดัง แต่กลับมีรสอร่อยแบบบ้านบ้านที่คุ้นปากติดลิ้นมากกว่า ไม่ต่างอะไรกับการไปบ้านที่มีเพื่อนเป็นพ่อครัวและเขาทำอาหารมื้อใหญ่มาเลี้ยงเราเลย ที่สำคัญ ด้วยการที่เราต้องสั่งอาหารล่วงหน้าตั้งแต่ตอนที่นัดจองที่ร้าน ทำให้ใครที่แพ้อาหารบางชนิดหรือไม่ชอบรสชาติแบบไหนสามารถบอกกับทางร้านก่อนได้ เพื่อให้ร้านจัดเตรียมอาหารในแบบที่เราจะพึงพอใจที่สุดรอไว้ให้ จะเป็นคนกินยากแบบไหน มาที่ร้านนี้รับรองว่าสามารถกินได้ทุกเมนูอย่างแน่นอน พาสตาจานใหญ่ที่กินกันห้าคนยังไม่หมดและอิ่มจนแน่นท้อง ฟิลิปโป้กำลังจัดจานหมึกยัดใส้อยู่ในครัวด้านหลัง หมึกยัดใส้ตัวมหึมาพร้อมใส้หนาแน่นที่กินพร้อมน้ำตาเพราะตอนนั้นอิ่มกันจนท้องแทบแตกออกมา แต่ก็ยังคงพยายามกินกันต่อไปเพราะรสชาติของอาหาร Panna …
Continue reading The Pasta Apartment ร้านอาหารที่เป็นให้เรามากกว่านั้น
Extrovert ที่เที่ยวคนเดียว
ปีสองปีมานี้ไปเที่ยวกับคนอื่นตลอดเลย พอได้กลับมาลองเที่ยวคนเดียวก็พบว่า ไปเที่ยวคนเดียวยังไงก็ดีกว่าจริง ๆ ด้วย ไปกับเพื่อน ก็ได้เฮฮาแค่กับกลุ่มเพื่อน ไปกับครอบครัว ก็ได้แค่ใช้เวลาร่วมกับครอบครัว ไปคนเดียวทริปนี้ เราได้ขึ้นกระบะนั่งคุยกับตชด. ได้หลบฝนปิ้งไก่กับฝรั่งสี่ห้าคน ได้ห้อยรถถ่ายรูปกับนักท่องเที่ยวคราวแม่สามคน ได้นั่งดื่มเล่นกับชาวบ้าน ได้นั่งคุยเล่นกับแม่ค้าข้างทาง ได้ไปนั่งเย็บหมอนกับโฮมสเตย์ที่ไปพัก เราไม่ได้ชอบอยู่คนเดียว แต่ที่เราชอบเที่ยวคนเดียวเพราะว่าเราคือ Extrovert ที่รู้สึกเหี่ยวเฉาและต้องการการเข้าสังคมมากกว่าแค่กลุ่มเดียวตลอดทริป เพราะแค่คนกลุ่มเดียวมันไม่พอ..
บ้านอีต่อง เหมืองปิล็อก หมอก ป่า และภูเขา
เนื่องจากช่วงปีที่ผ่านมาไม่ได้ว่างไปเที่ยวที่ไหนเลย ใน Blog นี้ก็เลยเต็มไปด้วยเรื่องราวอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด แต่ในที่สุดวันนี้เราก็ได้เริ่มกลับไปลุยเที่ยวกันอีกแล้ว และครั้งนี้เป้าหมายของเราก็คือ บ้านอีต่อง – เหมืองปิล็อก นั่นเอง ที่มาของทริปนี้ต้องบอกเลยว่ามาจากความใจง่ายล้วน ๆ คือในระหว่างที่กำลังนั่งทำงานอยู่เราดันได้ยินพี่ ๆ ในออฟฟิศที่นั่งอยู่ข้างหลังพูดว่า “ช่วงนี้ปิล็อกสวย” ไอ้เราก็สงสัย อะไรคือ [ปิล็อก] วะ ก็เลยลองเข้า Google ไปค้นดู… รู้ตัวอีกทีเย็นนั้นก็จองที่พักไปแล้ว สัปดาห์ต่อมาก็เดินทางเลย บอกแล้วว่ามาจากความใจง่ายล้วน ๆ เราเริ่มออกเดินทางจากบ้านในกรุงเทพฯตั้งแต่ตีห้า ไปถึงบขส. หมอชิตที่ยังคงเงียบและวังเวงอยู่พอสมควรก่อนจะซื้อตั๋วรถเพื่อเดินทางต่อไปยังกาญจนบุรี แล้วพอรู้ตัวอีกทีเราก็มานั่งมึนรอรถอยู่ที่กาญแล้ว หลังจากที่นั่งรอได้ไม่นานยังไม่ทันได้ตั้งสติดี ลุงคนขับรถที่น่าจะมีประสบการณ์ขับรถไปกลับเส้นทางนี้มามากกว่าอายุเราก็กระโดดขึ้นมา ติดเครื่อง แล้วก็ออกรถไปทันที รถเมล์เก่าส่งเสียงเครื่องดังเหมือนจรวดที่กำลังถูกปล่อยตัวทุกครั้งที่ต้องขึ้นเนินแบบเอื่อย ๆ แถมลุงคนขับก็ตะโกนบอกผู้โดยสารทุกคนที่ขึ้นลงตลอดว่า “เร็วครับ รถทำเวลาครับ” แน่สิ มันก็ต้องรีบทำเวลาล่ะนะ เพราะแค่แรงขับขึ้นเนินของรถยังแทบจะไม่มีเลย หลังจากนั่งรถไปเกือบสามชั่วโมงด้วยความช้าเหมือนเต่าคลาน สุดท้ายเราก็มาถึงตัวเมืองอําเภอทองผาภูมิ และเจอรถสองแถวสีเหลืองที่เต็มไปด้วยชาวบ้านท้องที่ กำลังติดเครื่องขับขึ้นอีต่อง ด้วยความรีบร้อนขี้เกียจรอรถใหม่ เราก็เลยกระโดดขึ้นรถคันข้างหน้าไปเลย ที่เหลือค่อยว่ากัน แล้วสิ่งดีงามสุด ๆ ก็เกิดขึ้นกลางทาง พอนั่งรถไปได้ชั่วโมงกว่าฝนก็ตกจ้า ตกหนักสลับตกเบาสลับตกหนักวนไปตลอดจนขึ้นไปถึงบ้านอีต่องข้างบนในที่สุด […]
อินโดนีเซียกับการฝ่าพายุ โดนจับ และเกือบจมน้ำตาย
ช่วงนี้เราอยู่แต่ที่บ้าน งานก็ทำที่บ้าน ไม่ได้ออกไปไหนเลย พอมานั่งคุ้ยรูปเก่า ๆ ก็ทำให้คิดถึงประสบการณ์ที่ไปเจอมาในแต่ละที่ แล้วเราก็ไปเจอรูปจากทริปอินโดนีเซียเข้า ก็เลยนึกอะไรหลาย ๆ อย่างขึ้นมาได้ กับประสบการณ์ที่เจอมา ความทรงจำที่จำยันวันตายของการไปอินโดนีเซีย เราว่ายน้ำตามเต่า แล้วโดนน้ำพัดลอยออกนอกเกาะไปไกลถึงจุดที่คนเขาขึ้นเรือไปดำน้ำกัน หลังจากนั้นไม่รู้ว่าเราคิดอะไรอยู่ เราเลยเลือกที่จะค่อย ๆ ว่ายน้ำกลับเข้าหาฝั่งจนสุดท้ายเราก็กลับมาได้ สภาพของเราตอนนั้นคือแทบยืนไม่อยู่ ปวดหัว เหนื่อย หอบ เอาจริง ๆ ก็แทบจะวูบไปกลางน้ำแล้วรอบนึงด้วยซ้ำ หลังจากนั้นวันนั้นก็นอนหลับเป็นตายไปเลยทั้งคืน แผนอะไรที่คิดไว้สลายหายไปหมดกับไอ้เต่าตัวนั้น อย่างน้อยก็ยังดีที่ไม่ได้ตามมันไปถึงปราสาทมังกรล่ะนะ เราได้ลองกินดอกกะหล่ำต้มและบดโดยไม่ผ่านการปรุงรส ปริมาณหนึ่งชามถ้วน รสชาติที่จำยันวันตาย ความจืด เหม็นผัก และไร้รสชาตินั่น เราโดนจับเป็นครั้งแรกในต่างประเทศ ตอนนั้นเราเดินเล่นไปเรื่อย ๆ จนเจอกับประภาคารสูง เราเล็งเอาไว้แล้วว่าเย็นนี้แหละ เราจะชมพระอาทิตย์ตกจากยอดประภาคารนี้ พอตกเย็นเราก็ซื้อเบียร์ เตรียมของให้พร้อม ดูลาดเลา พอยามไม่เห็นเราก็ปีนข้ามรั้วเหล็กที่สูงท่วมหัวเข้าไปด้านใน ปลดล็อคประตูที่ล็อคไว้ด้วยทักษะเล็ก ๆ ที่เราเก็บมาจากสมัยมัธยม จากนั้นเราก็เริ่มปีน ปีน ปีนไปได้เกือบครึ่งทางก่อนที่เราจะได้ยินเสียงตะโกนดังมาจากด้านล่าง พอมองลงไปสิ่งที่เห็นก็คือเจ้าหน้าที่ผิวเข้ามล่ำบึกจำนวนสามหรือสี่คนนี่ล่ะ กำลังตะโกนไล่ให้เราลงมา สุดท้ายเราก็ต้องยอมปีนลงมา แล้วก็ต้องเคลียกับเขาอยู่พักใหญ่จนพลาดพระอาทิตย์ตกของวันนั้นไปเลย อย่างน้อยก็ยังดีที่ไม่มีเรื่องอะไรมากหลังจากนั้น …
Continue reading อินโดนีเซียกับการฝ่าพายุ โดนจับ และเกือบจมน้ำตาย