ถ้าเราเดินข้ามฝั่งจากหน้า British Museum แล้วเดินต่อไปอีกหน่อยในถนนเส้นเล็ก ๆ เราจะเจอร้านอาหารที่ตกแต่งสะดุดตาจากร้านอื่นในบริเวณโดยรอบอยู่ร้านนึงที่มีป้ายรูปปลาคาร์ฟญี่ปุ่นและกันสาดสีฟ้าอยู่ข้างหน้า ทันทีที่เราก้าวเท้าข้ามประตูร้าน เสียงตะโกนต้อนรับเป็นภาษาญี่ปุ่นก็ดังขึ้นจากพนักงานทั้งร้าน ข้างในร้านเป็นห้องแถวแคบ ๆ ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นน้ำมันพืชและโอโคโนมิยากิ มีทางเดินตรงกลางร้านที่กว้างพอแค่ให้คนสองคนเดินสวนกันได้ ผนังร้านมีกลอนญี่ปุ่นกับภาพวาดจากภู่กันแขวนไว้เต็มไปหมดจนแทบมองไม่เห็นที่ว่างให้แขวนอะไรเพิ่ม ยกเว้นที่ว่างสุดด้านในร้านที่เว้นไว้ให้แอร์เก่า ๆ หนึ่งตัว ผนังข้างหนึ่งถูกทาเป็นสีฟ้าอ่อนมีโต๊ะแปดตัวที่เรียงยาวกันเป็นแถวติดผนัง ในขณะที่อีกฝั่งเป็นครัวเปิดสีขาวที่มีเชฟสาวชาวญี่ปุ่นยืนทำอาหารอยู่คนเดียวหลังบาร์และคอยส่งยิ้มกลับไปให้ลูกค้าที่เธอเผลอสบตาด้วยเป็นระยะ เมนูของร้านเต็มไปด้วยโอโคโนมิยากิหลากหลายไส้ที่ตั้งชื่อเมนูด้วยเมืองต่าง ๆ โอซาก้ากับวัตถุดิบคลาสสิคอย่างหมูสไลด์ ซัปโปโรที่ไส้ในเต็มไปด้วยอาหารทะเล หรือลอนดอนที่ใช้ชีสและเบคอนเป็นส่วนผสมหลัก โอโคโนมิยากิในร้านมีขนาดให้เลือกระหว่าง Deluxe กับ Super Deluxe ที่ราคาห่างกันแค่ £3 แล้วพอถามว่าขนาดต่างกันแค่ไหน พนักงานก็ทำมือเป็นวงกลมกะขนาดให้ดูบนโต๊ะก่อนจะแนะนำว่าถ้ากินเอาอิ่มคนเดียวสั่ง Super Deluxe ดีกว่า สุดท้ายเราก็เลยสั่งตามที่พนักงานแนะนำ ไม่นานหลังจากเรานั่งฟังเพลงญี่ปุ่นยุค 80 ที่เปิดคลอเบา ๆ กับเสียงพนักงานทั้งร้านที่พูดคุยกันเป็นภาษาญี่ปุ่น พนักงานเสิร์ฟคนเดิมก็เอาถ้วยที่เต็มไปด้วยส่วมผสมของโอโคโนมิยากิมาให้เราดูก่อนจะแนะนำส่วนผสมทีละอย่างให้ฟัง แล้วก็เริ่มราดน้ำมันลงบนกระทะร้อนกลางโต๊ะ เทส่วนผสมทุกอย่างลงไปปั้นเป็นแผ่นกลมที่เต็มไปด้วยอาหารทะเลจนแทบทะลักทั้งหมึก กุ้ง แซลมอน และหอยเชลล์ ก่อนจะหมั่นเดินกลับมาพลิกด้านอย่างระวังจนสุกดีก่อนจะโรยหน้าให้เราด้วยซอสโอโคโนมิยากิ มาโยเนส ผงสาหร่าย และปลาแห้ง รสชาติที่นี่ก็เหมือนที่เคยไปกินมาหลายร้านที่ญี่ปุ่น กะหล่ำหวานฉ่ำ กับไส้อาหารทะเลรสหวาน ตัดกับซอสที่มีรสเปลี้ยวนิดหน่ย …

